
‘สภาพัฒน์’ เผยจีดีพีไตรมาส 3 ปี 2568 ชะลอลงที่ 1.2% คาดไตรมาส 4 โตต่ำที่ 0.6% เหตุส่งออกหดตัว-ภาษีสหรัฐฯ และความขัดแย้งกับกัมพูชา ส่วนปีหน้า 2569 คาดโต 1.7% แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบฯ-หาตลาดส่งออกใหม่
17 พ.ย.2568-นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่าเศรษฐกิจขยายตัว 1.2% ลดลงจาก 2.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับฤดูกาลพบว่า เศรษฐกิจหดตัว 0.6% ถือเป็นการหดตัวลงไตรมาสต่อไตรมาสครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ทั้งนี้ ภาพรวม 9 เดือนแรกยังขยายตัวได้ 2.4%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนและความผันผวนทางการเมือง รวมถึงมีปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งกับกัมพูชา ขณะเดียวกันในสาขาการผลิตได้รับผลกระทบเยอะจากการปิดโรงกลั่นไป
นางสาวอ้อนฟ้า กล่าวว่า สำหรับจีดีพีในไตรมาส 4 ของปีนี้ คาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ 0.6% ซึ่งรวมมาตรการคนละครึ่งพลัส และมาตรการอื่น ๆ ที่ออกมาแล้ว ส่งผลให้ทั้งปี 2568 มองว่าจะขยายตัวที่ 2% ชะลอลงจากปี 2567 ที่ขยายตัว 2.5% แต่ยังคาดหวังมาตรการของภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปี จะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 เติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนแนวโน้มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.2-2.2% ค่ากลาง 1.7% จากปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร โดย สศช.มีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลว่าการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุน และต้องรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะที่การเจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐฯ เชื่อว่ายังเดินหน้าต่อได้ ซึ่งหากการเจรจาชัดเจนจะส่งผลต่อการตัดสินใจของภาคเอกชนและช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ ซึ่งประเมินว่าสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจะไม่ส่งผลต่อการเจรจาการค้า แต่ขณะเดียวกัน ต้องเดินหน้าหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะอินเดีย ปากีสถาน เอเชียใต้ แอฟริกา โดยยอมรับว่า หากการเจรจาชะลอออกไป ไม่สำเร็จภายในช่วงปลายปีนี้ตามกำหนดเดิม อาจต้องมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้กระทรวงพาณิชย์ หารือกับ USTR ของสหรัฐฯ เพื่อความชัดเจน
นอกจากนี้ ยังต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้สามารถฟื้นตัว และมีความพร้อมสำหรับฤดูกาลเพาะปลูกต่อไป รวมถึงเตรียมความพร้อมรองรับผลผลิตของเกษตรกรที่จะออกสู่ตลาดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำนวนมาก รวมถึงเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับอนุมัติการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง และแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของทางธุรกิจและภาคครัวเรือนอีกด้วย


