ลุยเข็นโครงการค้ำประกันสินเชื่อSMEแสนล้าน 'ผู้ว่าแบงก์ชาติ' ยันพร้อมหั่นดบ.กระตุ้นศก.เพิ่ม

‘ผู้ว่าแบงก์’ ลุยเข็นโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี 1 แสนล้านบาท ขึ้นเกณฑ์ค้ำ 10-30% แจงเร่งสรุปรายละเอียดภายในปีนี้ ก่อนคิกออฟปี 69 ยันพร้อมหั่นดอกเบี้ยหากจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เดินหน้าดูแลค่าบาทให้อยู่ในระดับเหมาะสม

23 พ.ย. 2568 – นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธปท. ยังอยู่ระหว่างการหารือกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทยในการเร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจ เนื่องจากสินเชื่อเอสเอ็มอีหดตัวต่อเนื่อง 13 ไตรมาส เนื่องจากสถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อตาม credit cost ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมองว่าหากสินเชื่อดังกล่าวยังคงหดตัวต่อไปจะเป็นปัญหาทำให้เศรษบกิจไทยไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพ

สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีนั้น จะเป็นการจัดตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกในการค้ำประกันสินเชื่อให้เอสเอ็มอี เพื่อลดความเสี่ยงของ credit cost จากการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี วงเงินรวม 1 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นจะใช้เม็ดเงินที่เหลือจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) รองรับการดำเนินการ วงเงินปล่อยกู้ต่อราย คาดว่าจะอยู่ที่ 50-100 ล้านบาท โดยกลไกนี้จะลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้ธนาคาร 10-30% เช่น หากเป็นผู้ประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อยู่ที่ 10% และผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อยู่ที่ 30% โดยกลไกนี้จะง่ายและไม่ซับซ้อน และช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่สอดรับกับ Reinvent Thailand และอื่น ๆ เช่น ค่าปลีก ค่าส่ง กลุ่มที่มีศักยภาพในการปรับตัว กลุ่มที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เช่น ปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ local content เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น อาหารแปรรูป เกษตรแปรรูป Wellness เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2568 และสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2569

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอให้ดำเนินมาตรการ QE ว่า สำหรับประเทศไทยนั้นมาตรการดังกล่าวอาจจะมีผลค่อนข้างจำกัด เนื่องจากจุดประสงค์หลักของมาตรการ QE คือการกดอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวให้ลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกตลาดเงิน แต่ในบริบทของเศรษฐกิจไทยการจะเร่งให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้จริงก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเร่งผลักดันโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ในส่วนนโยบายการเงินนั้น นายวิทัย ระบุว่า ขณะนี้ยังมีช่องว่างเพียงพอที่จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีก หากข้อมูลชี้ถึงความจำเป็นในการสนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้น แต่การตัดสินใจทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินข้อมูลและสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นเป็นสำคัญด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ มองว่าปัญหาหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าในขณะนี้ มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาสังคมสูงวัย และความไม่แน่นอนในการลงทุนมากกว่าเรื่องต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากกว่า

“ธปท. ต้องคอยดูข้อมูลเศรษฐกิจอย่างละเอียด แต่ยืนยันว่ามีความพร้อมที่จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมถ้ามีความจำเป็นที่นโยบายการเงินจะสามารถซัพพอร์ตเศรษฐกิจได้ แต่ในรายละเอียดต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจที่ไม่ดีนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยจึงมีผลจำกัด แต่ถามว่าลดดอกเบี้ยแล้วก็มีผลที่ช่วยทำให้คนจ่ายหนี้ได้มากขึ้น เป็นหนี้เสียน้อยลง ดังนั้นหากถามว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ คงตอบไม่ได้ เพราะต้องมาพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้นด้วย” นายวิทัย กล่าว

นอกจากนี้ ในส่วนของแนวโน้มค่าเงินบาทนั้น ผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา หลัก ๆ เป็นผลจากการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันพบว่าดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าไปแล้วกว่า 7% ขณะที่เงินบาทปรับแข็งเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นแล้ว 5% เนื่องจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ, เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดพันธบัตรและเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ​ (FDI), การซื้อขายทองคำของคนไทย และภาวะการเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้จากระดับ 34.10 บาทในช่วงปลายปี 2567 เป็น 32.48 ในช่วงไตรมาส 4/2568

โดย ธปท. ยืนยันว่าอยากเห็นค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสมในการสะท้อนสถานะทางเศรษฐกิจที่แท้จริง เพื่อเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะยังมีข้อจำกัดเรื่องปัจจัยพื้นฐานอยู่ โดยคาดหวังว่าในปี 2569 ดุลบัญชีเดินสะพัดน่าจะปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาคส่งออกที่จะเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้นหลังจากช่วงที่ผ่านมาได้มีการเร่งส่งออกค่อนข้างมาก

“เหตุที่ ธปท. ไม่เข้าไปแทรกแซงค่าเงินเพราะเราอยู่ภายใต้ 3 เกณฑ์ของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้กับประเทศคู่ค้ามาต่อเนื่องหลายปี ได้แก่ 1. เกินดุลกับสหรัฐฯ 1.5หมื่นล้านดอลลาร์ 2. มี Current Account หรือการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดบวกมากกว่า 3% และ 3.การแซกแทรกอัตราแลกเปลี่ยนรวมไม่เกิน 2% ของจีดีพี ซึ่งปัจจุบันเรามักจะเข้าเกณฑ์ข้อ 1 และ 2 อยู่แล้ว ดังนั้น ธปท. จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในเกณฑ์ข้อ 3 เพราะหากเราเข้าทั้งหมด 3 เกณฑ์ นั่นหมายถึงเราบริหารจัดการค่าเงินผิดเกณฑ์ ดังนั้นในสภาวะเช่นนี้ หน้าที่ของ ธปท. คือการลดความผันผวนของค่าเงิน แต่หากเกิดภาวะวิกฤติหรือจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องเข้าไปดูแลค่าเงินบาทมากกว่าเดิม ธปท. ก็พร้อมเต็มที่” นายวิทัย กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง