'NCB' กระทุ้งรัฐเร่งแก้ปัญหาภูเขาหนี้ ลุ้นปลดล็อกดึงข้อมูลค่าน้ำ-ไฟใช้ขอกู้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

NCB’ กระทุ้งรัฐเร่งเครื่องมาตรการแรงแก้ปัญหาภูเขาหนี้ หวั่นฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย หนุนลูกหนี้หลุดพ้นเดินหน้าชีวิตต่อ รับปัจจัยการเมืองเป็นความท้าทาย ห่วงชงยกเครื่องกฎหมายเครดิตบูโร หั่นเวลาเก็บข้อมูลลูกหนี้เหลือ 6 เดือน จาก 3 ปี กระทบข้อมูลแบงก์วิเคราะห์ปล่อยกู้ยากกว่าเก่า ลุ้นปลดล็อกดึงข้อมูลจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ ใช้ประกอบการขอสินเชื่อ ชี้เป็นมาตรฐานสากล

24 พ.ย. 2568 – นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ NCB บรรยายหัวข้อ ‘วัฒนธรรมหนี้ : 2 ทศวรรษ ของข้อมูลเครดิตกับเศรษฐกิจไทย’ ในงานสัมมนา ‘ข้อมูลเครดิต พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2 ทศวรรษ’ ว่า ประเทศไทยเจอวิกฤติหนี้หนักที่สุด 2 ช่วง คือ หลังน้ำท่วมปี 2554 ที่การก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นภาระหนี้ึครัวเรือนสะสม โดยปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเต็มที่ ก็มาเจอวิกฤติโควิด-19 ทับถมเข้ามาเพิ่มเติม จนทำให้เกิดภาวะตกหลุมรายได้ (Incom Shock) ทำให้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ลูกหนี้ต้องอยู่ในภาวะไต่ภูเขาลูกหนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ปัจจัยดังกล่าวกลายมาเป็นประเด็นฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่ภาครัฐต้องเร่งตัดสินใจแรง ๆ ในการเร่งบริหารจัดการ

ทั้งนี้ ‘มาตรการปิดหนี้ไว ไปต่อได้’ โดยการโอนหนี้เสีย ไม่เกิน 1 แสนบาท ไป AMC ที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งผลักดันออกมานั้น ถือเป็นหนึ่งในแนวทางในการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นการแฮร์คัต การยกดอกเบี้ย หรือการผ่อนปรนการชำระ โดยมองว่าการผลักดันนโยบายเหล่านี้จะช่วยทำให้คนที่ติดกับดักหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน หลุดพ้นและสามารถเดินหน้าชีวิตต่อไปได้

ขณะเดียวกัน ธปท. อยู่ระหว่างการเร่งผลักดันมาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วงเงินรวม 1 แสนล้านบาท ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านกลไกที่ง่ายและไม่ซ้ำซ้อนเหมือนระบบค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งตามข้อมูลของ NCB พบว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระบบราว 2.8 แสนบริษัท ยอดหนี้ 6.5 แสนล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นหนี้เสียราว 3-4 แสนล้านบาท หลัก ๆ เป็นหนี้เสียในกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กมาก ๆ ราว 14% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง จนกลายเป็นความเสี่ยง และความเปราะบางในส่วนนี้เมื่อรวมกับความเข้มงวดในการวิเคราะห์สินเชื่อของสถาบันการเงิน จะยิ่งทำให้เอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เลย ดังนั้นหาก ธปท. ไม่เร่งผลักดันมาตรการแรง ๆ ออกมา ความเสี่ยงส่วนนี้ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ ฉุดรั้งคนทำมาค้าขายตัวเล็กตัวน้อย

นายสุรพล ยังกล่าวถึงความท้าทายของ NCB ในระยะถัดไป คือ ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง โดยเฉพาะในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อาจมีบางพรรคการเมืองไม่เข้าใจบทบาทของ NCB และมองว่า NCB เป็นอุปสรรคในการทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ เช่นกรณีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 มีข้อเสนอตั้งแต่การยุบเลิก, ปฏิรูปกฎหมาย NCB ด้วยการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การลดระยะเวลาจัดเก็บข้อมูล เหลือ 6 เดือน จากมาตรการสากลจะมีการเก็บประวัติลูกหนี้อย่างน้อย 3 ปี เป็นต้น

“คำว่าปฏิรูป คือ การต่อภาพใหม่ และการปฏิรูปจะต้องวิวัฒน์ พัฒนาขึ้นไป ไม่มีการปฏิรูปไหนที่ทำแล้วถอนหลังกลับไป เช่น มาตรฐานสากลบอกว่า การรู้จักตัวตนของลูกหนี้ต้องรู้จักประวัติอย่างน้อย 3 ปี แต่ข้อเสนอปฏิรูปใหม่คือจะเหลือแค่ 6 เดือน แบบนี้จะบอกว่าเดินหน้าหรือถอยหลัง หรือข้อเสนอที่ว่า หากชำระหนี้เสร็จสิ้นให้ลบข้อมูลประวัติลูกหนี้ทิ้งทันที ตัวอย่างเช่น ลูกหนี้ค้างชำระในเดือน เม.ย. แต่พอถึงเดือน พ.ค. กลับมาชำระหนี้ ก็ถือว่าเป็นหนี้ดี ดังนั้นก็ควรจะไปลบประวัติในเดือน เม.ย. ที่ค้างชำระทิ้งไปทันที แบบนี้เราจะกลับไปเหมือนคนตาบอดก่อนปี 2540 ตรงนี้มองว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในการวิเคราะห์สินเชื่อของสถาบันการเงิน จากการมีข้อมูลที่น้อยเกินไป จากปกติที่ต้องมีข้อมูลเยอะ เพื่อช่วยให้การปล่อยสินเชื่อง่ายขึ้น จึงอยากเรียกร้องว่าการปฏิรูปกฎหมายต้องดูแนวทาง ตามมาตรฐานโลก มาตรฐานสากล ไทยไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกที่จะคิดกฎระเบียบของเราเองได้” นายสุรพล กล่าว

นอกจากนี้ ในปัจจุบันการจะใช้ข้อมูลการชำระค่าน้ำค่าไฟมาประกอบการในวิเคราะห์การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินในไทย ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากไทยยังมีการออกแบบระบบไม่เรียบร้อยติดขัดในบางประเด็น ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตเป็นผู้พิจารณาผลักดันให้เกิดการบังคับใช้ได้จริง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของต่างประเทศ ที่มีการใช้ข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการให้สินเชื่อต่อไป

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าปัจุบันข้อมูลการชำระค่าน้ำ-ค่าไฟนั้น ยังมีข้อถกเถียงกันมาอย่างต่อเนื่อง ว่าจะนับเป็นข้อมูลสินเชื่อหรือไม่ ซึ่งหลายประเทศมองว่าการให้ใช้น้ำใช้ไฟก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง ถือว่าเป็นเครดิต หรือการให้สินเชื่อแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการตีความอย่างกว้าง จึงง่ายที่จะนำข้อมูลในส่วนนี้มาช่วยวิเคราะห์การพิจารณาให้สินเชื่อ

เพิ่มเพื่อน