จ้างงานไตรมาส3 หดตัว0.5% ห่วงน้ำท่วมแนะรัฐเร่งมาตรการช่วยเหลือ

‘สภาพัฒน์’ เผยจ้างงานไตรมาส 3/68 ปรับตัวลดลง 0.5% หลังเจอวิกฤตน้ำท่วมเป็นวงกว้าง หดตัว2.9% แนะรัฐเตรียมมาตรการช่วยเหลือ ด้าน ‘หนี้สินครัวเรือน’  ห่วงยึดบ้านขายทอดตลาดพุ่ง  ชี้เศรษฐกิจตอนนี้ไม่เหมาะขึ้น VAT ต้องรอการบริโภคฟื้นก่อน

24 พ.ย.2568-นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) แถลงภาวะสังคมไทย รายงานภาพรวมการจ้างงานไตรมาส 3/2568 หดตัวลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด 39.9 ล้านคน โดยการหดตัวดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงถึง 2.9% ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมถึงสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ขณะนี้ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง จากข้อมูลพบว่าภาคเกษตร เสียหายหนักจากน้ำท่วม เกษตรกรรับผลกระทบ 2 แสนราย

สำหรับภาคนอกเกษตรกรรมยังเติบโต 0.6% โดยเฉพาะสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่พุ่งขึ้น 4.9% ตามด้วยภาคการผลิตและค้าส่ง–ค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น 2.6% และ 1.5% ตามลำดับสาขาที่ซบเซา ได้แก่ โรงแรม–ภัตตาคาร และการก่อสร้างที่ลดลง 0.6% และ 5.4% ส่งผลให้ภาพรวมชั่วโมงการทำงานทรงตัวที่ 43.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนภาคเอกชนเฉลี่ยสูงถึง 47.5 ชั่วโมง โดยมีสัญญาณว่างานลดลงในหมวดผู้ทำงานต่ำระดับและผู้ทำงานล่วงเวลา

ขณะที่ค่าจ้างแรงงานโดยรวมลดลง 0.3% แม้ลูกจ้างเอกชนและแรงงานในระบบจะมีค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่ค่าจ้างแรงงานอิสระลดลงถึง 2.9% สะท้อนกำลังซื้อที่อาจอ่อนตัว ขณะที่อัตราการว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.76% คิดเป็นผู้ว่างงาน 3.1 แสนคน แต่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นตามภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ดังนั้นภาครัฐต้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งต้องเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และควรมีมาตรการฟื้นฟูและสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส2/ 2568 หนี้สินครัวเรือนอยู่ที่ 16.31 ล้านล้านบาท ลดลง 0.3% สะท้อนการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพลูกหนี้ด้อยลง ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ลดลงเหลือ 86.8% จาก 87.1% ไตรมาสก่อนสัญญาณความเสี่ยงชัดเจนขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน (NPLs) ที่แตะ 1.24 ล้านล้านบาท หรือ 9.11% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 8.78% และขยับขึ้นทุกประเภทสินเชื่อ แม้สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 1–3 เดือน (SMLs) จะลดลงตามมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งอาจช่วยลด NPLs ในอนาคต

สำหรับประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยปัจจุบันพบแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องเร่งรัดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัย 2. การส่งเสริมการเข้าถึงมาตรการสินเชื่อของครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อที่ยืดหยุ่น ไม่สร้างภาระในระยะยาว ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์มาตรการให้เกิดการรับรู้ เพื่อให้ครัวเรือนได้รับความช่วยเหลือได้ทัน และลดการต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ 3.การประชาสัมพันธ์และติดตามการดำเนินการของโครงการ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ รวมทั้งและหาแนวทางให้ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่ม Non-bank เพื่อให้ลูกหนี้ที่มีสิทธิเข้าถึงการแก้ไขปัญหาอย่างทั่วถึง

นางสาวอ้อนฟ้า กล่าวถึงประเด็นในการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ว่า คงต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม และต้องดูว่าการบริโภคฟื้นตัวกลับมาหรือไม่ อย่างกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการ เช่น คนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นการบริโภค นั้น มาตรการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นในสิ่งที่เรากำลังตกดินอยู่ และคงไม่ใช่ว่าเราพร้อมแล้วที่จะขึ้นภาษี Vat แล้ว ซึ่งการจะดูว่าว่าการบริโภคกลับมาแล้วหรือไม่ จะต้องดูเทรนด์ว่ามีการฟื้นตัวต่อเนื่องกี่ไตรมาส อย่างไรก็ตาม การขึ้น VAT ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ดีนัก

สำหรับการปรับขึ้น VAT ตามกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework หรือ MTFF) โดยในแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2570-2573 ระบุว่า ตั้งเป้าที่จะเพิ่ม VAT ในปี 2571  อยู่ในอัตรา 8.5% และทยอยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10% ในปี 2573 สภาพัฒน์ จึงคิดว่ายังเป็นภาพในระยะยาว ที่รัฐบาลตระหนักดีว่าขณะนี้เศรษฐกิจประเทศไทย ยังไม่พร้อมปรับขึ้น VAT จึงต้องรอ ให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนก่อน สำหรับมาตรการคนละครึ่ง พลัส  แม้ช่วยกระตุ้นการบริโภคได้ จึงจะสามารถตัดสินใจได้ แต่ก็ยังไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมากพอที่จะรองรับการขึ้น VAT

“เชื่อว่ารัฐบาลตระหนักดีว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย จึงต้องรอให้การบริโภคฟื้นตัวชัดเจนก่อน ซึ่งคงไม่ใช่ช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจยังไม่ได้อยู่ในภาวะที่พร้อม ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาขึ้น VAT รัฐบาลจะต้องติดตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและภาคธุรกิจในหลายเดือนหรือหลายไตรมาสข้างหน้า หากตัวเลขการบริโภคเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน รัฐบาลจึงจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับขึ้นภาษี”นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ มองว่าในการเพิ่ม VAT จะต้องมีการออกแบบนโยบายและมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งการกำหนดวัตถุประสงค์ การสื่อสารกับประชาชน การเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และการใช้รายได้อย่างโปร่งใส โดยพิจารณาความจำเป็นทางการคลัง ความพร้อมของระบบจัดเก็บและภาวะเศรษฐกิจ จะสามารถสร้างความยั่งยืนทางการคลังได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา สศช. ได้ศึกแนวทางการขึ้น VAT ในต่างประเทศด้วย พบว่ามี 6 ประเด็นน่าสนใจ ได้แก่1.การกำหนดวัตถุประสงค์ของการปรับขึ้นอัตรา VAT เช่น ประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น มีการกำหนดวัตถุประสงค์ว่าจะนำรายได้จากการเพิ่ม VAT ไปใช้พัฒนาสวัสดิการสังคม เช่น การดูแลผู้สูงอายุ การสนับสนุนการศึกษาเด็กปฐมวัย รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน 2.การปรับอัตรา VAT สามารถดำเนินการได้หลายวิธี โดยประเทศญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร นำระบบอัตราภาษีสองระดับ โดยอัตรามาตรฐานสำหรับสินค้าทั่วไป และอัตราภาษีลดหย่อนสำหรับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ กำหนด VAT ในอัตราเดียว

3.การปรับขึ้นอัตรา VAT อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น มีการประกาศขึ้นอัตรา VAT แบบขั้นบันได ควบคู่กับการประเมินความพร้อมของเศรษฐกิจก่อนปรับ 4.การมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านในการปรับตัว เช่น สหราชอาณาจักร ประกาศอัตรา VAT ใหม่ โดยแจ้งล่วงหน้าประมาณครึ่งปีเพื่อให้ปรับตัว

5.การออกมาตรการรองรับหลังการปรับขึ้นอัตรา VAT เช่น ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อกระตุ้นการบริโภคหลังปรับขึ้น VAT เพิ่มเงินอุดหนุนในการซื้อบ้าน รวมถึงมีการพัฒนาระบบการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ภาคบังคับเพื่อรองรับการปรับขึ้น VAT ส่วนประเทศสิงคโปร์ มีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพในรูปแบบของเงินช่วยเหลือที่จ่ายให้อัตโนมัติ ทำให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือทันที ส่วนประเทศโคลัมเบีย มีนโยบายวันปลอด VAT เพื่อส่งเสริมการบริโภคของครัวเรือนรายได้น้อย และมีการออกมาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษี และจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษี VAT

และ 6.การสร้างความเข้าใจและการสื่อสารข้อมูลให้แก่ประชาชนชนและภาคธุรกิจ โดยประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์ เน้นการสื่อสารข้อมูลอย่างต่อเนื่องและมาตรการรองรับการปรับภาษีต่อประชาชนผ่านช่องทางที่หลากหลาย ควบคู่กับการเปิดเผยแผนการใช้จ่ายงบประมาณจาก VAT ที่ปรับขึ้น เพื่อแสดงความโปร่งใส

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%