
จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และซับซ้อนกว่าที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมีการเพิ่มบทบาทที่ไม่ใช่แค่บทบาทหลักที่เน้นการดูแลปัญหาเชิงโครงสร้าง และรักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเป็นเป็นสำคัญเท่านั้น แต่ได้มีการเพิ่มบริบทการทำงานที่รองรับความท้าทายในรูปแบบใหม่ ๆ ทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีทางการเงิน และความเสี่ยงที่กระทบต่อเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อคงความมั่นคงและความเชื่อมั่นของประเทศในระยะยาว
นอกจากภารกิจด้านเสถียรภาพแล้ว ธปท. ในยุคปัจจบันยังต้องทำงานควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ประกอบการรายย่อย มาตรการต่าง ๆ จึงถูกออกแบบให้ ‘ตรงจุด เฉพาะส่วน’ มากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดภาระหนี้ การส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม หรือการประคับประคองภาคเศรษฐกิจในช่วงที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง บทบาทเชิงรุก ที่มากขึ้นของ ธปท. ในการดูแลคนไทยให้สามารถยืนหยัดผ่านความท้าทายปัจจุบัน
ภายใต้ค่านิยม ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน ซึ่ง ธปท. มุ่งดำเนินงานอย่างโปร่งใส กล้าตัดสินใจบนหลักการระยะยาว พร้อมทั้งยื่นมือเข้าไปช่วยขับเคลื่อนและคลี่คลายปัญหาที่ประชาชนเผชิญอย่างใกล้ชิดและเป็นจริง การผสมผสานระหว่างความมั่นคงทางวิชาการและความเข้าใจภาคสนาม ทำให้ ธปท. สามารถวางมาตรการที่มีประสิทธิผลและเท่าทันความเปลี่ยนแปลง อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการพาเศรษฐกิจไทยก้าวสู่ความยั่งยืนในอนาคต
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยืนยันว่า บทบาทหน้าที่หลักของ ธปท. คือ การดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการใช้นโยบายการเงินเป็นหลัก ซึ่งคำว่า ‘เสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค’ ตามภาษาชาวบ้าน คือ เงินเฟ้อต่ำ ควบคุมได้ สถาบันการเงินแข็งแรง ระบบการชำระเงินเข้มแข็งและมีเสถียรภาพ ตรงนี้คือหน้าที่หลักทั้งหมด แต่ผมคิดว่าปัญหาความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคมากนัก จึงนำมาซึ่งประเด็นที่ ธปท. ในปัจจุบันที่ต้องการขยายบริบท ขยายบทบาทในการเข้าไปดูแลปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างให้มากขึ้น
ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่ดำเนินการได้ นั่นคือ การออกมาตรการในการให้ความช่วยเหลือ หรือแก้ปัญหาที่เป็น ‘มาตรการเฉพาะจุด’ เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาบางเรื่อง นี่คือสิ่งที่ผมพูดมาตลอดเวลาเกือบ 2 เดือนที่เข้ามาตรงนี้ และพยายามจะดำเนินการแบบนี้มาโดยตลอด
“หน้าที่หลักของ ธปท. คือการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเราก็ยังดำเนินต่อไป แต่หลังจากนี้ ธปท. ต้องขยายบทบาทในการเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจ เข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่น ๆ ด้วย ภายใต้บริบทที่ ธปท. ควรจะทำ เราไม่ได้จะทำทุกเรื่อง แต่ ธปท. จะทำในสิ่งที่ควรจะทำในส่วนของปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหลาย ตรงนี้สอดคล้องกับค่านิยมของเรา คือ ยื่นตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน ผมมองว่า ถ้า ธปท. เข้าไปอยู่ใกล้ชิดประชาชน ใกล้ชิดปัญหาให้มากขึ้น เข้าไปร่วมแก้ปัญหาให้มากขึ้น ก็เหมือนกับเรายื่นมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเชิงสังคม ช่วยแก้ปัญหาเชิงเศรษฐกิจ และช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง อยู่ใกล้กับประชาชนและสังคมมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ ธปท. กำลังดำเนินการ”
ด้วยเหตุผลและปัจจัยดังกล่าวนี้ จึงเป็นที่มาของการพยายามออกมาตรการเฉพาะจุดเข้ามาเสริม เรื่อง ‘การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน’ เพราะ ธปท. ยังคงมองเห็นเสมอว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาสำคัญ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนความเป็นอยู่ของประชาชนในระยะยาว จึงเป็นที่มาของ โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ ซึ่งเป็นมาตรการในการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียภาคประชาชนเฉพาะกลุ่ม ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้
สำหรับ โครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ คือ การซื้อหนี้เสียภาคประชาชนที่มีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ล็อตแรกจำนวน 1.6 ล้านบัญชี ผ่านกลไกของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่าง บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM โดยใช้เงินจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่เหลือจากโครงการคุณสู้ เราช่วย มาดำเนินการ โดยมีความหวังว่าโครงการนี้จะช่วยลูกหนี้อย่างน้อย 500,000-800,000 รายหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย และกลับเข้าสู่ระบบใหม่ได้อีกครั้ง ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยเสริมนโยบายการเงินในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจได้ และหลังจากนี้จะมีมาตรการที่ออกมาช่วยในแต่ละจุด ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งจะเป็นการต่อจิ๊กซอร์จนประกอบเป็นภาพสุดท้ายที่ใหญ่ขึ้น
ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อมา คือ ‘การเติบโตของสินเชื่อติดลบต่อเนื่องรวมกว่า 5 ไตรมาส’ ขณะที่ ‘สินเชื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส’ โดยในเดือน ต.ค. 2568 สินเชื่อเอสเอ็มอี ติดลบ 4% ตรงนี้สะท้อนว่ามันมีปัญหาจริง ๆ เศรษฐกิจไม่สามารถกระเตื้องขึ้นได้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะไม่สามารถกลับมาได้หากสินเชื่อเอสเอ็มอียังคงติดลบต่อไป และหากทั้งหมดยังคงหดตัวอยู่อย่างนี้ ‘เศรษฐกิจจะกลับมาไม่ได้’
หากถามว่าทำไมสินเชื่อเอสเอ็มอี หรือสินเชื่อในระบบยังคงหดตัว แน่นอนว่ามาจากภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่ไม่ค่อยดี ทุกคนต้องยอมรับ! เศรษฐกิจมีปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ความต้องการสินเชื่อก็ลดลง เมื่อตรงนี้ลดลง โรงงาน หรือธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายกำลังการผลิต หรือลงทุนก็มีความต้องการสินเชื่อลดลงไปด้วย นี่ก็เป็นอีกเรื่องจริงที่ต้องยอมรับเช่นกัน
แต่อีกข้างหนึ่ง ก็ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากที่อยากกู้ แต่กู้ไม่ได้! เพราะสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ เนื่องจากทุกคนต้องระมัดระวังตัว เพราะต้นทุนความเสี่ยงสูง สถาบันการเงินยังกังวลว่าเมื่อปล่อยกู้ไปแล้วจะกลายเป็นหนี้เสียหรือไม่ จะได้เงินคืนหรือไม่ ธปท. มองว่าปัญหาเหล่านี้เกิดมาจาก ‘ต้นทุนความเสี่ยง’ จึงเป็นที่มาของเป้าหมายสำคัญของ ธปท. ที่ต้องการจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง
สิ่งที่ ธปท. พยายามดำเนินการ คือ การพยายามสร้างกลไกหนึ่งขึ้นมา เป็นกลไกการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และหวังว่ากลไกนี้จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดปัญหาต้นทุนความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และทำให้สถาบันการเงินกลับมาปล่อยสินเชื่ออีกครั้ง โดยมาตรการที่เตรียมจะออกมานี้ จะมาเสริมกับการดำเนินการที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว ผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แต่กลไกที่ ธปท. กำลังดำเนินการนี้จะพุ่งเป้าหมายไปอีกกลุ่ม ซึ่งการดำเนินการของ บสย. อาจจะยังมีข้อจำกัดทำให้กลุ่มเป้าหมายของ ธปท. ยังเข้าไม่ถึง โดยโจทย์ของ ธปท. คือการลดต้นทุนความเสี่ยงประมาณ 20% ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมาก เพื่อทำให้สถาบันการเงินกล้าที่จะปล่อยกู้ เพราะรู้ชัดเจนว่าจะมีโควตาคุ้มครองความเสียหายที่สามารถเคลมได้
ทั้งนี้ กลไกนี้ถูกออกแบบให้ ‘ตรงจุด’ โดยเน้นการให้สินเชื่อใหม่แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เช่น เกษตรและอาหารแปรรูป ค้าส่ง ค่าปลีก โรงแรม Wellness และผู้ประกอบการที่ยกระดับศักยภาพธุรกิจของตัวเอง และธุรกิจใน supply chain หรืออื่น ๆ ที่ ธปท.ต้องการส่งเสริมและเห็นการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย ที่มีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ปรับตัวให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Transition)
‘กระจาย’ โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อลูกหนี้ เพื่อกระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง โดยลูกหนี้ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ‘มี Impact’ ซึ่งเม็ดเงินใหม่ออกในไม่ช้า โดยจะชะเชยเฉพาะสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ภายในกรอบเวลาที่กำหนด เช่น 2 ปี นับจากปี 2569 เป็นต้น และชดเชยในระยะที่ยาวพอ เช่น 7 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการสินเชื่อ เพื่อยกระดับศักยภาพ อีกทั้งวงเงินชดเชยให้สถาบันการเงิน (Max Claim) เพียงพอรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สถาบันการเงินมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึง ‘คล่องตัว’ โดยสถาบันการเงินขอรับเงินชดเชยความเสียหายได้ตามวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ได้จริง และกระบวนการขอรับเงินชดเชยความเสียหายไม่ซับซ้อน!

“ธปท. มองว่าสินเชื่อที่หดตัวอยู่ตอนนี้ เป็นปัญหามาจากความเสี่ยงด้านต้นทุน ผมคิดว่านี่คือปัญหาสำคัญ สิ่งที่เราจะทำ โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง ธปท. รัฐบาล กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ถือเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของรัฐบาลที่จะเข้ามาร่วมกันผลักดันและแก้ปัญหา เพราะเห็นตรงกันว่านี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างอีกหนึ่งเรื่องที่จะต้องเข้ามาดูแล ช่วยกันประคับประกอบเพื่อให้เศรษฐกิจในปัจจุบันยังไปต่อได้ โดยรูปแบบและรายละเอียด คือ อาจจะจัดตั้งเป็นกองทุน หรือกลไกขึ้นมาช่วยค้ำประกันความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการเข้าถึงสินเชื่อ โดยรายละเอียดทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการหารือ” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ
โดยใช้แหล่งเงินจากกองทุน FIDF ที่เหลืออยู่ หรือที่จะใช้ในปีถัดไปราว 20,000 ล้านบาทเป็นทุนตั้งต้น โดยมีเป้าหมายการค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีได้ราว 100,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะมีวงเงินค้ำสินเชื่อต่อรายที่ 50-100 ล้านบาท ผ่านกลไกในการลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้สถาบันการเงิน 10-30% เช่น หากเป็นผู้ประกอบการที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อยู่ที่ 10% และผู้ประกอบการที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อยู่ที่ 30% โดยกลไกนี้จะง่ายและไม่ซับซ้อน และช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น ซึ่ง ธปท. หวังว่าจะดำเนินการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวได้แล้วเสร็จภายในปี 2568 และสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2569
สำหรับการจัดสรร ธปท. จะใช้หลัก First Come First Serve ควบคู่ไปกับการออกแบบโควตาให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้บางสถาบันการเงินได้โควตาแต่ไม่ปล่อยสินเชื่อจริง โดยขอย้ำว่าโครงการนี้ยังอยู่ระหว่างออกแบบรายละเอียด แต่เบื้องต้น ธปท. ก็ได้มีการประเมินโครงหลักไว้ราว 50-70% และตั้งเป้าหมายให้กองทุนหรือกลไกนี้เข้าไปช่วยให้สินเชื่อเอสเอ็มอีผ่านจุดต่ำสุด และเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ปี 2569
นี่คือช่วงเวลาที่ท้าทายของเศรษฐกิจไทยซึ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้น การที่ ธปท. ปรับและขยับบทบาทผ่านการเร่งดำเนินมาตรการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของประเทศ โดยเฉพาะการลดภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและการพลิกฟื้นสินเชื่อเอสเอ็มอีที่หดตัวต่อเนื่อง ด้วยการออกแบบมาตรการที่ตรงจุดและตอบโจทย์ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในเชิงการปรับปรุงวินัยทางการเงิน การเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน และการสร้างกลไกสนับสนุนที่เหมาะกับความเป็นจริงของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย
การขับเคลื่อนดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ธปท. ในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านภาวะเปราะบางในปัจจุบัน และเสริมรากฐานให้สามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้นในระยะยาว ด้วยมาตรการที่ครอบคลุมและเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ธปท.มุ่งหวังให้ระบบเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างสมดุล ควบคู่กับการยกระดับความแข็งแกร่งของภาคการเงินและการสนับสนุนศักยภาพของทุกภาคส่วนในสังคม!


