'เอกนิติ' หนุนลงทุนเพิ่มปูพรมเติบโตยาว 'วิทัย' จ่อคุยนอนแบงก์แก้หนี้เสียล้านราย

‘เอกนิติ’ เร่งเครื่องนโยบายเศรษฐกิจหนุนลงทุนรองรับการเติบโตระยะยาว ปักธงอัปสกิล-รีสกิลเพิ่มทักษะแรงงานไทย รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เข็นเศรษฐกิจไทยโตพ้นบุญเก่า ด้าน ‘วิทัย’ แจงต้นปี 69 จ่อคุยนอนแบงก์ลุยแก้หนี้เสียอีก 1 ล้านราย จับตาประชุม กนง. กลาง ธ.ค. 68 แย้มยังมีช่องขับลดดอกเบี้ยได้ พร้อมประเมินน้ำท่วมใต้กระทบจีดีพี 0.1-0.2%

1 ธ.ค. 2568 – นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ ‘คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight’ ในหัวข้อสนทนา ‘คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน’ ว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้าเกี่ยวกับมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล (Individual Saving Account) ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ต้องยอมรับความจริงว่าไทยกินบุญเก่ามานาน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการลงทุนใหม่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกกว่า 60-70% เมื่อมีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ เศรษฐกิจไทยจึงมีความเสี่ยงค่อนข้างเยอะ ดังนั้นแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลในช่วง 4 เดือน จึงเน้นไปที่การวางรากฐานการเติบโตให้ได้ในระยะยาว โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจผ่านการสนับสนุนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านอุตสาหกรรม และการลงทุนในคน เหล่านี้เเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“เศรษฐกิจไทยยังมีความน่าสนใจ เพราะต่างชาติยังให้ความสนใจเยอะ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เรายังมีโอกาสในการเติบโต อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร แต่ปัจจัยสำคัญที่เรายังขาด คือ ทักษะแรงงาน รัฐบาลจึงเน้นเรื่องนี้ผ่านโครงการอัปสกิล รีสกิล เพื่อให้แรงงานไทยสามารถรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้ โดยเตรียมดึงวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท จากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มาใช้เพื่อจัดโครงการฝึกอบรมทักษะแรงงานระยะสั้น รวมถึงจะมีการออกสินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวและพัฒนาธุรกิจให้ทันสมัย (Business Transformation Loan) ซึ่งจะเป็นการพัฒนาและยกระดับธุรกิจระดับกลางด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเข้มแข็งใหม่อีกครั้ง” นายเอกนิติ กล่าว

ขณะเดียวกัน มองว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องสอดประสานกัน เพื่อเดินหน้าในการฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยยืนยันว่านโยบายการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องมีอิสระในเชิงเครื่องมือ แต่ในแง่มุมของเศรษฐกิจในฐานะที่รับผิดชอบนโยบาย ทั้งคลังและ ธปท. จะต้องสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนนโยบายการคลัง ยืนยันจะเดินหน้าอย่างเข้มแข็งภายใต้กรอบวินัยกาคลังอย่างเข้มข้น

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ยืนยันว่าที่ผ่านมา ธปท. และกระทรวงการคลังทำงานสอดประสานกันด้วยดีมากตลอด ไม่มีปัญหา ทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ ธปท. จะมีการปรับบทบาท ไม่ได้ดูเพียงนโยบายการเงิน หรือด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคแต่เพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ขับเคลื่อนนโยบายการเงิน ควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันมาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย เนื่องจากมองว่า ธปท. ไม่ได้มีหน้าที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นการบริโภคเหมือนรัฐบาล แต่ ธปท. มีหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ตลอดจนการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและสถานการณ์ติดลบ 13 ไตรมาส 36 เดือน หรือ 3 ปีในสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งในส่วนนี้จะมีการผลักดันกลไกค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีออกมา วงเงินราว 1-1.2 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ จากปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจไทยตอนนี้ หากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยจะเจอปัญหาหนักจริง ๆ โดยเฉพาะในรายย่อย จากการเติบโตของรายได้บบุคคลที่โตลดลงต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวไม่ถึง 2% จากก่อนหน้านี้โตเฉลี่ย 4-5% ครัวเรือนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่องหลายปี สะท้อนว่าครัวเรือนเหล่านี้จะต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งสุดท้ายจะวนกลับมาเป็นแรงกดดันของปัญหาหนี้ครัวเรือนในที่สุด

“หนึ่งบริบทที่เปลี่ยนแปลง คือ เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจเหมือนเดิมที่แม้จะไม่ทำอะไรเลย แต่เศรษฐกิจก็โตได้ 3-4% แต่ตอนนี้จะโต 2% ยังยากเหลือเกิน เพราะเราอยู่บนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้ามานานและมากมาย โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างประชากรสูงวัย หนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ไม่ทั่วถึง การเมืองไม่นิ่ง และตอนนี้มีแต่คนที่พร้อมจะวิเคราะห์ ไม่มีคนลงมือแก้ไขจริง ธปท. มองเห็นตรงนี้และอยากจะเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง” นายวิทัยกล่าว

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ นโยบายการเงินเป็นนโยบายที่มีผลในภาพรวมเศรษฐกิจไม่มาก และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ถือเป็นเครื่องมือหลักของนโยบายการเงินที่จะมีผลในหมู่กว้างเป็นหลัก ไม่ใช่นโยบายแบบเฉพาะจุดที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้งจึงมีผลต่อเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างค่อนข้างจำกัด ที่ผ่านมา ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อไป ไปแล้ว 4 ครั้ง มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 และ 2569 ต่ำกว่า 0.2% เพราะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ได้เกิดมาจากการบริโภค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นหลัก ดังนั้นหาก ธปท. จะใช้แค่นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว ก็จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก แต่นโยบายเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็ยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่อง ทำให้คนอยู่ได้ คนจ่ายหนี้ได้ไม่เป็นหนี้เสีย ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2568 ต้องมาดูกันว่า กนง. จะเห็นภาพและข้อมูลของเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ยอมรับว่ายังมีช่องว่างที่ยังพอจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้

นายวิทัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ ธปท. เร่งดำเนินการเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างแบบเฉพาะจุด คือ การแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย โดยโอนหนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สิขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ได้ราว 2 ล้านกว่าคน ขณะที่ในช่วงต้นปี 2569 จะเร่งหารือกับนอนแบงก์ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มต่อไป ราว 1 ล้านคน รวมถึงจะมีการเร่งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าหลังจากนี้ ธปท. จะเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับปัญหา ใกล้ชิดกับสังคม และใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นโดยไม่มีคำว่าหอคอยงานช้าง เพราะหวังว่านโยบายการเงินจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาชน และช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้มากขึ้น ภายใต้ความมีอิสระในการตัดสินใจใช้นโยบายการเงินที่จะไม่ใช่อิสระแบบหลุดลอย แต่ต้องมีเป้าหมาย และต้องคำนึงถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้นั้น ยอมรับว่าหนักหนาอย่างมาก โดยประเมินว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมไม่เกิน 0.1-0.2% ต่อจีดีพี ดังนั้นที่ผ่านมา ธปท. จึงได้มีการกำชับให้สถาบันการเงินทั้งหมดเร่งออกมาตรการช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ ทั้งการลดต้น-ดอกเบี้ย และลดภาระต่าง ๆ อย่างเต็มที่ รวมทั้งยังได้หารือเพิ่มเติมกับสมาคมธนาคารไทย ในการเร่งหามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในพื้นที่ 9 จังหวัด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง