
ชอปปิ้งออนไลน์เตรียมตัว! ‘ศุลกากร’ ปักธง 1 ม.ค. 69 เก็บภาษีสินค้านำเข้าตั้งแต่บาทแรก คาดหนุนจัดเก็บรายได้เพิ่ม 3 พันล้านบาท กลุ่มแฟชั่น เสื้อผ้า-รองเท้า โดนอากรสูงสุด 30% ส่วนกระเป๋า 20%
22 ธ.ค. 2568 – นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวภายหลังพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือในการกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ร่วมกับ 5 แพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ บริษัท ลาซาด้า จำกัด, บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย), บริษัท ติ๊กต็อก ช้อป (ประเทศไทย), SHEIN และ TEMU ว่า กรอบความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถะประสงค์ 3 มิติ ได้แก่
1. ด้านการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ข้อมูลรายการชนิดสินค้า ปริมาณสินค้า และมูลค่าสินค้า เพื่อใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในขั้นตอนการปฏิบัติพิธีการศุลกากร จะช่วยสนับสนุนให้การตรวจสอบสินค้ามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. ด้านการปกป้องสังคม โดยการกำหนดกลไกความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูล เพื่อป้องกันการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายและสินค้าไม่ได้มาตรฐาน
3. ด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐ โดยความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่จำหน่าย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บรายได้ ทำให้การจัดเก็บภาษีอากรเป็นไปอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังเร่งผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม คือ การปรับเปลี่ยนแนวทาง การจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำ โดยให้จัดเก็บอากรสำหรับสินค้า นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 แทนการยกเว้นอากรสำหรับของนำเข้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นราว 3,000 ล้านบาท และยังเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ไม่ต้องแข่งขันบนเงื่อนไขที่เสียเปรียบ ซึ่งจากข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบว่ามีการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท สูงถึงประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือราว 150 -160 ล้านชิ้น
สำหรับวิธีการจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปนั้น เบื้องต้นแพลตทุกแพลตฟอร์มจะมีการกำหนดราคาสินค้าที่รวมกับภาษีอากรในส่วนนี้เข้าไปอยู่แล้ว ทำให้การดำเนินการส่งสินค้าจึงยังเหมือนเดิม คือวางสินค้าไว้ที่หน้าบ้าน ยกเว้นที่ส่งผ่านไปรณีย์ไทยเท่านั้นที่จะต้องเสียภาษีขณะนำส่งสินค้า โดยสินค้านำเข้าจะถูกจัดเก็บภาษีตามพิกัดของประเภทสินค้านั้น ๆ ซึ่งอัตราภาษีสูงสุดอาจถึง 30% ของอัตราอากรขาเข้า เช่น กลุ่มสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า รองเท้า ส่วนกลุ่มกระเป๋า อากรจะอยู่ที่ประมาณ 20%
“ยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้มากขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา ส่วนมาตรการจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปนั้นจะส่งผลให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น คงขึ้นอยู่กับแต่ละแพลตฟอร์ม แต่เท่าที่ได้มีการหารือร่วมกันคือ แพลตฟอร์มจะบวกภาษีเข้าไปในราคาสินค้าเลย หรือบางส่วนจะมีการชดเชยเข้าไปในตัวสินค้าเลยบางส่วน ส่วนการจัดเก็บภาษีตามมาตรการในส่วนของประชาชนยังเหมือนเดิม โดย 97% ของสินค้าที่สั่งผ่านแพลตฟอร์มจะส่งตรงถึงบ้าน วางไว้ที่หน้าบ้านเหมือนเดิม ยกเว้นสินค้าที่ส่งผ่านไปรษณีย์ไทย ที่จะต้องเสียภาษีกับพนักงานส่งสินค้า ซึ่งในส่วนนี้มีประมาณ 1,300 กล่องต่อวันเท่านั้น” อธิบดีกรมศุลกากร ระบุ
ขณะที่แนวโน้มการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2569 นั้น คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนหนึ่งมาจากการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นราว 3 พันล้านบาท จากมาตรการจัดเก็บอากรสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ขณะที่การจัดเก็บอากรจากสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องนุ่งห่ม กระเป๋ามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการจัดเก็บรายได้จากการนำเข้ารถยนต์ที่ลดลงเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจไม่ดี ส่งผลให้คนบริโภครถยนต์หรูลดลง ขณะเดียวกันมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (FTA) ด้วย ดังนั้นภายหลังจากมีรัฐบาลใหม่แล้ว อาจจะต้องมีการหารือเพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการการจัดเก็บรายได้ใหม่ ๆ เพื่อมาชดเชยในส่วนนี้
พันโทหญิง ธมกร ศุภธนรังสี รองประธานฝ่ายรัฐสัมพันธ์ บริษัท ลาซาด้า จำกัด กล่าวว่า มองว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะส่งผลในเชิงบวกมากกว่า โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แพลตฟอร์มได้มีการหารือกับกรมศุลกากรอย่างต่อเนื่องเกี่ยกับ มาตรการจัดเก็บอากรสำหรับสินค้า นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป และได้มีการให้ความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้ถูกต้องมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกคนแข่งขันกันบนมาตรฐานเดียวกัน มีระบบที่ปลอดภัย ซึ่งสุดท้ายมั่นใจว่าจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นทำให้มีผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้น

