‘ธปท.’งัด2หมื่นล. ผุด SMEs Credit Boost เดินหน้าค้ำประกันสินเชื่ออุ้มเข้าถึงแหล่งทุน

‘ธปท.’ ผนึก ‘คลัง-แบงก์พาณิชย์’ ผุดกลไกค้ำประกันสินเชื่อผ่านโครงการ SMEs Credit Boost ดึงเงิน FIDF 2 หมื่นล้านบาท ลุยค้ำประกันสินเชื่ออุ้มเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ 1 แสนล้านบาท เตรียมคิกออฟ 15 ม.ค. 69

26 ธ.ค. 2568 – นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังพิธีลงนาม MOU โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost ว่า ธปท.ร่วมกับ กระทรวงการคลัง และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ร่วมผลักดันโครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ ที่จะเป็นกลไกค้ำประกันความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อใหม่ ที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ธุรกิจกลุ่มเป้าหมาย โดยแหล่งเงินของโครงการจะมาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดตั้งเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการได้ตั้งแต่ 15 ม.ค. 2569

สำหรับเป้าหมาย จะประกอบด้วย 1. เอสเอ็มอีในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และโลจิสติกส์ 2. เอสเอ็มอีและธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีแผนว่าจะนำสินเชื่อที่ได้รับไปใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต หรือ เสริมสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ โครงการ SMEs Credit Boost ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ตรงจุด มี impact กระจาย คล่องตัว ตรงจุด เน้นให้สินเชื่อใหม่แก่เอสเอ็มอีในภาคธุรกิจเป้าหมาย หรือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า มี impact ช่วยให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยไม่ช้า โดยกำหนดวงเงินชดเชยสูงสุดในช่วง 15-30% ขึ้นกับขนาดของผู้ประกอบการ ของยอดสินเชื่อปล่อยใหม่แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายในช่วง 2 ปี นับจากวันเริ่มโครงการ ระยะเวลาค้ำประกันสูงสุด 7 ปี นับจากวันปล่อยสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 5 เท่า ของวงเงินชดเชย

ด้านกระจาย โดยเน้นช่วยเอสเอ็มอีและกระจายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการได้หลายราย จึงกำหนดวงเงินสินเชื่อรวมทุกธนาคารพาณิชย์สูงสุดต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาท สำหรับเอสเอ็มอีและไม่เกิน 150 ล้านบาท สำหรับธุรกิจรายใหญ่ ขณะที่ความคล่องตัว ธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการสินเชื่อได้คล่องตัว เพราะทราบโควตาวงเงินชดเชย ที่ได้รับการจัดสรรอย่างชัดเจน ณ วันปล่อยสินเชื่อ อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการการขอรับเงินชดเชยภายในโควตาได้สะดวก จากกระบวนการขอรับเงินชดเชยที่ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องรองบประมาณจากภาครัฐ

“หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คือ สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส เอสเอ็มอีมีความสำคัญมาก เพราะมีการจ้างงานถึง 70% มีส่วนของจีดีพี 35% เป็นพื้นฐานสำคัญของห่วงโซ่การผลิต หากไม่สามารถสนับสนุนให้เอสเอ็มอีมีสภาพคล่องที่เพียงพอ จะกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจอย่างแน่นอน”นายวิทัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้จะช่วยเสริมการดำเนินงานของโครงการค้ำประกันสินเชื่อโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อและสนับสนุนการยกระดับศักยภาพทางธุรกิจ อันจะส่งผลบวกไปยังการจ้างงาน การสร้างรายได้ และการลงทุน ซึ่งจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้ระบบเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง