
ในช่วงหน้าแล้งของทุกปี จังหวัดเชียงใหม่ ต้องประสบปัญหาฝุ่นควันปกคลุม โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และความเสียหายทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจำนวนมาก สาเหตุหลักของฝุ่นควัน รับรู้กันว่า เกิดจาก การเผาในพื้นที่ป่า การเผาในพื้นที่เกษตรกรรม การเผาในพื้นที่โล่งแจ้ง และมลพิษทางอากาศจากเครื่องยนต์ รวมถึงปัญหาหมอกควัน ไฟป่าจากพื้นที่ข้างเคียง ปริมาณมากจนสะสมกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า PM 2.5
ทางด้านรัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่นควันที่บางปีถึงขั้นวิกฤต โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 ให้การแก้ปัญหาPM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนใน 3 มาตรการ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ
ขณะที่ คนภาคเหนือได้ขับเคลื่อนการแก้ปัญหากันเอง ด้วยการตั้ง 9 ภาคีสภาลมหายใจภาคเหนือ ได้แก่ สภาลมหายใจภาคเหนือ สภาลมหายใจเชียงราย สภาลมหายใจเชียงใหม่ สภาลมหายใจน่าน สภาลมหายใจพะเยา สภาลมหายใจแพร่ สภาลมหายใจแม่ฮ่องสอน สภาลมหายใจลำปาง และสภาลมหายใจลำพูน เพื่อร่วมมือกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศภาคเหนือ
โดยเฉพาะสภาลมหายใจเชียงใหม่ ที่เจอปัญหาฝุ่นควันพิษหนักสุด ได้ทำข้อเสนอ8 ข้อ ที่ดำเนินการในปี 2565 ดังนี้ 1.ติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพให้ครอบคลุมทุกตำบลใน 8 จังหวัดภาคเหนือ 2.สร้างเวทีการมีส่วนร่วมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี 3.ใช้มาตรการเชิงรุกเปลี่ยนการเผาภาคเกษตรให้เป็นวิธีการอื่น 4.จัดการไฟป่าชุมชนและท้องถิ่น โดยกำหนดมาตรการระดับพื้นที่ และสร้างพื้นที่ต้นแบบทุกจังหวัด 5.พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในทุกจังหวัดอย่างทั่วถึง เท่าเทียม 6.แก้ไขปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนเชิงรุก ที่เกิดจากพื้นที่เกษตรอุตสาหกรรม 7.ส่งเสริม พ.ร.บ.อากาศสะอาด ผลักดันสิทธิเข้าถึงอากาศสะอาดของประชาชนตามกฎหมาย และ 8.รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนต่อเนื่องตลอดทั้งปี เปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพเป็นสาธารณะ

ในประเด็นการตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อหาต้นตอของฝุ่น ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรเป็นหลัก เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ประเทศไทยได้จับมือสภาลมหายใจเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สนับสนุนโครงการวิจัย”บ้านสู้ฝุ่น” ที่เป็นโครงการต้นแบบ ในการจัดการพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นภายในครัวเรือน เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในจ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ประสบปัญหามลภาวะรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

โดย”บ๊อช “ได้ติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละออง ในบริเวณชุมชนหมื่นสาร ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา เพื่อวัดค่าคุณภาพอากาศ โดยพุ่งเป้าไปที่ระดับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 ในบริเวณพื้นที่รอบชุมชนหมื่นสาร นอกจากนั้น ยังร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการสนับสนุนการติดตั้งเครื่อง “DustBoy” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย
สำหรับ การทำงานของเครื่อง วัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อชนั้น สามารถเก็บข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศในพื้นที่วิจัยแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญ ยังเป็นการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของดัชนีคุณภาพอากาศและค่าฝุ่นละอองอีกด้วย ซึ่งข้อมูลที่จะได้จะช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุได้ว่า ฝุ่นที่เกิดขึ้นนั้นมีต้นตอจากสาเหตุอะไร และการปลูกพรรณชนิดใดที่จะสามารถดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็กในบริเวณนั้น ๆ ได้
ในเรื่องของพรรณไม้ช่วยแก้ปัญหาฝุ่น เบื้องต้นผลวิจัยบ่งชี้ว่า พืชพรรณบางชนิดที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น มีลักษณะของใบเรียวเล็ก ผิวหยาบ มีขน และเหนียว มีลำต้นและกิ่งก้านพันกันสลับซับซ้อน และพืชที่มีใบขนาดเล็กจำนวนมาก สามารถช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศได้ ผลการศึกษาวิจัยนี้ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีอากาศที่ดีขึ้น

“
โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บ๊อช ประเทศไทย และประเทศลาว กล่าวว่า บ๊อซ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่จะช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อชนับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้คนและสภาพแวดล้อม จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นวัตกรรมของบ๊อชสามารถช่วยสนับสนุนการสร้างอนาคตที่มาพร้อมอากาศบริสุทธิ์ให้เป็นจริงได้
อินทิรา ปาร์ค ผู้จัดการสื่อสารองค์กรประจำประเทศไทย บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ประเทศไทย กล่าวว่า บ๊อช ดำเนินงานภายใต้พื้นฐานความยั่งยืนและให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ส่วนการร่วมแกัปัญหาฝุ่นคว้นที่เชียงใหม่ ปัจจัยหลักมองว่าเชียงใหม่มี ปัญหาเรื่องPM 2.5 สาหัสมาก ขณะเดียวกันก็มีเครือข่ายแกัปัญหาที่ดี และยังมีศูนย์วิทยาศาสตร์ภาคเหนือ จึงคิดว่าเป็นชัยภูมิที่ดีในการศึกษาเรื่องนี้ ตลอดจน โซลูชั่นเครื่องวัดคุณภาพอากาศของบ๊อช ยังสามารถวัดค่าฝุ่นได้ในเชิงลึก แยกแยะได้ว่าฝุ่นที่ล่องลอยในอากาศนั้น เกิดจากการเผาไหม้ตามพื้นที่ต่างๆ หรือมาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เพราะต้องยอมรับว่าเมืองเชียงใหม่เอง มีปัญหาการจราจรหนาแน่นมาก มลภาวะจากรถยนต์ ก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาฝุ่นด้วยเช่นกัน

” ในการทำกิจกรรมบ้านสู้ฝุ่น ต้องขอบคุณ ม.เชียงใหม่ ที่ทำให้เรารู้จักสภาลมหายใจเชียงใหม่ ซึ่งมีเจตนาตรงกันในเรื่อง การสื่อสารเรื่่องอากาศสะอาดเหมือนกับบ๊อช ตลอดจนเชียงใหม่มี pain point เรื่องมลภาวะทางอากาศ ที่ย่ำแย่มาหลายปี จึงคิดว่า โซลูชั่นของบ๊อช ที่สามารถวัดค่าฝุ่นได้เชิงลึก หลากหลาย น่าจะช่วยวิจัยปัญหานี้ได้ แม้จะยังไม่ได้ผลสรุป เพราะติดขัดปัญหาทางเทคนิคบางประการ ซึ่งทางบ๊อช ที่เยอรมันกำลังดูให้ แต่ตามแผนจะต้องสามารถเห็นข้อมูลได้ทุกจุดที่มีการติดตั้งเครื่องวัด โดยโครงการที่ร่วมทำกับ ม.เชียงใหม่ จะเป็นโครงการนำร่อง ในอนาคตบ๊อชอาจร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ ต่อไป”

อินทิรา บอกอีกว่า ไม่ได้มีแต่ที่เชียงใหม่เท่านั้น ก่อนหน้านี้ บ๊อช ก็มีประสบการณ์นำเทคโนโลยีวัดค่าฝุ่น ไปติดตั้งที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษมาแล้ว โดยติดตั้งไป 20 ตัว ข้อมูลที่ได้ สามารถลิงค์ กับกล้องวงจรปิดหลายชุด และนำข้อมูลมาแก้ปัญหาฝุ่น โดยใช้การปล่อยไฟจราจรมาเป็นตัวช่วย และข้อมูลนี้ยังสามารถนำมาใช้เพื่อวางผังเมืองได้อีกด้วย หรือนำไปใช้กับปัญหาอื่นๆ ขึ้นกับบริบทของแต่ละพื้นที่
“บ๊อชเอง เราเป็นผู้นำผลิตส่วนประกอบรถยนต์ Neutral Technology และมุ่งมั่นเรื่องทำอากาศสะอาดขึ้น ในช่วง 10-15 ปี ข้างหน้าก่อนที่รถยนต์ไฟฟ้าแพร่หลาย เราก็จะขอมีส่วนร่วมทำอากาศสะอาดไว้ก่อน”อินทิรากล่าว

รศ.ดร. สมพร จันทระ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือกับ บ๊อช ทำให้เราเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยติดตามสถานการณ์ค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยให้เราสามารถศึกษาและบอกได้ว่าการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นมีส่วนช่วยทำให้คุณภาพอากาศในบริเวณนั้น ๆ ดีขึ้นได้มากน้อยอย่างไร

สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานคณะกรรมการอำนวยการ สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า “โครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” มีเป้าหมายที่สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันควบคุมปัญหามลพิษทางอากาศ หากทุกภาคส่วนช่วยกันแล้ว เราจะสามารถตระหนักและรับรู้ถึงปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้เมืองเชียงใหม่กลับมาเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกครั้ง

มร.ฮง กล่าวปิดท้ายว่า เทคโนโลยีขับเคลื่อนของบ๊อช ถือว่าสอดคล้องไปกับทิศทางการขยายตัวของสังคมเมืองทั้งในประเทศไทย และในระดับโลก ที่ต้องมีทั้งความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความยั่งยืน รวมไปถึงสามารถปกป้องชีวิตและสุขภาพของเราได้ ซึ่งความยั่งยืนนั้นเป็นแนวคิดหลักของผลิตภัณฑ์ของบ๊อช ที่ต้องการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้คนอย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กองกำลังผาเมือง ยึดยาบ้า 1 ล้านเม็ด พื้นที่ อ.ไชยปราการ
กองกำลังผาเมือง สกัดกั้นขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดแนวชายแดน ยึดยาบ้าอีก 1,008,000 เม็ด ในพื้นที่ อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่
ยอดดอยอินทนนท์ ทำสถิติหนาวสุดปีนี้ 2 องศา น้ำค้างแข็งเกิดขึ้นต่อเนื่องวันที่ 4
มีรายงานการเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง (เหมยขาบ หรือ แม่คะนิ้ง) เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ของฤดูหนาวปี 2568 บริเวณจุดชมวิวทะเลเมฆ ติดกับเนินหญ้าลานจอดรถ รวมถึงบริเวณเนินหญ้า หน่วยพิทักษย์ยอดดอยอินทนนท์ (อน.5) โดยเช้านี้ ยอดดอย อุณหภูมิทั่วไป ต่ำสุด 2 องศา ส่วนอุณหภูมิยอดหญ้า วัดได้ - 2.3 องศา ทำสถิติหนาวที่สุดในฤดูหนาวปีนี้
'ยอดดอยอินทนนท์' อุณหภูมิเลขตัวเดียวมีเหมยขาบติดต่อกันวันที่สาม
ยอดดอยอินทนนท์อุณหภูมิยังเป็นเลขตัวเดียวแตะต่ำสุดครั้งแรกในฤดูหนาวปีนี้ 3 องศาฯ มีเหมยขาบติดต่อกันวันที่ 3 นักท่องเที่ยวคึกคัก
ชุมชนริมกก โอดสูญเสียพื้นที่ทำกิน เศรษฐกิจชุมชนพังพินาศ จากเหตุสารพิษปนเปื้อนแม่น้ำ
ชุมชนริมกกโอดสูญเสียพื้นที่ทำกิน เศรษฐกิจชุมชนพังพินาศ ขาดแคลนน้ำสะอาด หนี้สินท่วมท้นจากเหตุสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำ ชาวบ้านต้องยอมกินปลาในแม่น้ำพิษ
ฮือฮา! ค้นพบพืชสุดหายาก 'ดอกไม้ผี' ไร้ใบ ไม่มีคลอโรฟิลล์ ตัวตนลึกลับ
สุดว้าวกับปริศนา 'ดอกไม้ผี' ไร้ใบ ไร้แสง ตัวตนลึกลับ ระดับ Extremely Rare นักวิจัยพบครั้งแรกเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่ - เชียงราย โชว์ตัวผ่านโซเชียลครั้งแรกในไทย
มาเป็นทีม! ปชน.จี้กรมการปกครองล่าส่วยสัญชาติ
'วิโรจน์-สมดุลย์' ร้อง 'กรมการปกครอง' เร่งเอาผิดผู้เกี่ยวข้องถึงที่สุด พร้อมแฉขบวนการ 'ส่วยสัญชาติ' เรียกเงินหลักหมื่นแลกขอสัญชาติ-ทำบัตร ปชช. เชื่อมีปัญหาคล้ายกันอีกหลายพื้นที่

