นายกฯ เตือนประชาชนต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี

โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ย้ำเตือนประชาชนใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน ระมัดระวังอย่าติดตั้งแอปฯ ปลอมอาจแฝงมัลแวร์ ทำให้มิจฉาชีพล่วงรู้ข้อมูลส่งผลสูญเสียเงินในบัญชีทั้งหมดได้

19 ม.ค.2566 - นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวพบผู้เสียหายจากการใช้งานสายชาร์จปลอมแล้วถูกดูดข้อมูลและโอนเงินออกจากบัญชี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่ได้เกิดจากการใช้งานสายชาร์จปลอม แต่มิจฉาชีพหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมัลแวร์ ทำให้มิจฉาชีพล่วงรู้ข้อมูลการทำธุรกรรมของลูกค้า และสามารถควบคุมเครื่องโทรศัพท์เพื่อสวมรอยทำธุรกรรมแทนจากระยะไกล เพื่อโอนเงินออกจากบัญชี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยต่อกรณีดังกล่าวอย่างมาก ฝากย้ำเตือนมายังประชาชนทุกคน ให้ระมัดระวังการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ต้องรู้เท่าทัน ศึกษาเรียนรู้และติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์อยู่เสมอ เพื่อนำมาปรับใช้กับตนเอง และป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากเหล่ามิจฉาชีพและผู้ไม่ประสงค์ดีในการหลอกลวงนำข้อมูลต่าง ๆ ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง ที่จะทำให้ประชาชนสูญเสียทั้งชื่อเสียงและทรัพย์สินได้ โดยเฉพาะขณะนี้พบว่ามิจฉาชีพมีวิธีการหลอกลวงหลากหลายรูปแบบ ทั้งการส่ง SMS หลอกลวง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และแอปพลิเคชันให้สินเชื่อปลอม ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีการหลอกลวงให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมที่แฝงมัลแวร์ จนถูกดูดข้อมูลและโอนเงินออกจากบัญชีไป ดังนั้นการที่จะเข้าไปโหลดหรือติดตั้งแอปพลิเคชันต่าง ๆ ต้องระมัดระวังและมีการตรวจสอบให้ดีก่อนดำเนินการ

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. สำนักงาน ปปง. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยล่าสุด ธปท. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมาตรการต่างๆ ให้สถาบันการเงินต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.ปรับปรุงพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยบน Mobile Banking อย่างต่อเนื่อง 2.ปิดกั้นเว็บไซต์หลอกลวง และตัดการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิจฉาชีพใช้ควบคุมเครื่องผู้เสียหายจากระยะไกล 3.แก้ไขปัญหา SMS หลอกลวง ที่แอบอ้างชื่อเป็นสถาบันการเงิน 4.จัดให้มีช่องทางการรับแจ้งความออนไลน์เพื่อให้ประชาชนแจ้งความได้สะดวกและอายัดบัญชีได้รวดเร็วขึ้น และ 5.ประชาสัมพันธ์สร้างการตระหนักรู้ แจ้งเตือนภัย และให้คำแนะนำประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ธปท. และสมาคมธนาคารไทย ได้ชี้แจงว่าสถาบันการเงินจำเป็นต้องพัฒนาเครื่องมือและการตอบสนองให้เท่าทันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการพัฒนากลไกความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนเพิ่มความระมัดระวัง เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยสามารถป้องกันภัยในเบื้องต้นได้ ดังนี้ 1.ไม่คลิกลิงก์จาก SMS LINE และอีเมลที่มีแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักหรือไม่น่าเชื่อถือ 2.ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรม นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store อาทิ Play Store หรือ App Store เท่านั้น 3.อัปเดต Mobile Banking ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ หรือตั้งค่าให้มีการอัปเดตแบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีมาตรการป้องกันการควบคุมเครื่องทางไกลรวมถึงมีการปรับปรุงพัฒนาระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ 4. ไม่ใช้เครื่องโทรศัพท์มือถือที่ไม่ปลอดภัยมาทำธุรกรรมทางการเงิน อาทิ เครื่องที่ปลดล็อก (root/jailbreak) เพื่อให้สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ ก็ได้ หรือใช้เครื่องที่มีระบบปฏิบัติการล้าสมัย เป็นต้น และ 5. ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้การติดตามแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และหากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติ สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งาน เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ธปท. ยังย้ำให้สถาบันการเงินมีมาตรการดูแลลูกค้าทุกรายอย่างเต็มที่ตามขั้นตอนปฏิบัติที่กำหนด หากได้ตรวจสอบและพิสูจน์พบว่าลูกค้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลส่วนตัว สถาบันการเงินต้องรีบพิจารณาช่วยเหลือและดูแลความเสียหายของลูกค้าโดยเร็วภายใน 5 วัน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ชัย' ฟุ้งแค่ไตรมาสแรกต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 3 หมื่นล้าน!

โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ชื่นชมผลจากความสำเร็จรัฐบาล ไตรมาสแรกปี 2567 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท ส่งเสริมโอกาสการประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้ให้คนไทย