
‘ป.ป.ช.’ เล็งตรวจบัญชีทรัพย์สิน เทศบาล-อบต. ป้ายแดงและพ้นเก้าอี้ กว่า 7 หมื่นบัญชี ปี 65 ลุยสอบเข้มคดีร่ำรวยผิดปกติ
10 ธ.ค. 2564 – ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงผลงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ครบรอบ 3 ปี ตอนหนึ่งว่า งานการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ ที่เราต้องการสร้างความโปร่งใสของผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีความโปร่งใส มีการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า วันนี้เรารู้ว่ากระบวนการตรงนี้เรามีปัญหาล่าช้า เราพยายามจะเร่งรัดการตรวจสอบทรัพย์สินให้รวดเร็ว และตามบัญญัติของกฎหมาย สิ้นปี 2564 ณ วันที่ 1 ตุลาคม เรามีบัญชีที่ตรวจสอบค้างอยู่ กรณีตรวจสอบปกติ 23,404 บัญชี กรณีตรวจสอบยืนยันข้อมูล 1,540 บัญชี กรณีตรวจสอบเชิงลึก 455 บัญชี และในปีที่ผ่านมามีการเลือกตั้งเทศบาลและทำให้บัญชีทรัพย์สินในการตรวจสอบเพิ่มขึ้นมา 10,500 บัญชีสำหรับผู้ที่พ้นตำแหน่ง และเพิ่มอีก 10,500 บัญชี ผู้ที่รับตำแหน่งใหม่ เท่ากับเรามีบัญชีของเทศบาล 20,000 กว่าบัญชี
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 64 มีการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ วันนี้คนที่พ้นตำแหน่งนายก อบต. และรองนายก อบต. ที่ต้องยื่นบัญชีรวมแล้ว 15,900 บัญชี ส่วนกรณีรับตำแหน่งใหม่ ที่ต้องรอคณะกรรมการการเลือกตั้งรับรอง (กกต.) รับรอง อีก 15,900 บัญชี และเมื่อ กกต.รับรองแล้วเขาก็มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ภายใน 60 วัน ดังนั้นเราจะมีบัญชี อบต. กว่า 30,000 บัญชี มีบัญชีเทศบาล 20,000 กว่า ของค้างเก่าอีก 20,000 กว่าบัญชี รวมๆ แล้วประมาณ 70,000 กว่าบัญชี ที่ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการ เรามีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน 350 คน ตามเกณฑ์แล้วปีหนึ่ง แต่ละคนจะตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินคนละ 90 บัญชี ดังนั้นตามปกติ 350 คนจะตรวจสอบได้ 35,000 บัญชี แต่เรามี บัญชีอยู่ในมือที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 กว่า 60,000 ถึง 70,000 บัญชี คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงได้ให้มีการวางแผนในการจ้างบุคคลมาช่วยตรวจสอบบัญชีเข้าสู่ระบบ เพราะไม่เช่นนั้น 2 ปี ก็ทำไม่เสร็จ ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 ตั้งเป้าหมายว่า ต่อไประบบการยื่นบัญชีทรัพย์สินจะเข้าสู่ระบบอิเล็คทรอนิกส์ทั้งหมด เพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วขึ้น
ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินไม่ใช่เรื่องของการจะไปดำเนินคดีกับคนที่ไม่ยื่น หรือจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน เพราะนโยบายขณะนี้เป็นเรื่องของการส่งเสริมให้ยื่นบัญชีทรัพย์สิน เราต้องการให้ยื่นโดยจะมีการเตือนและแนะนำ ดังจะเห็นได้จากสถิติคดีจงใจไม่ยื่น หรือจงใจปกปิด ปีนี้ลดลงมากและต่อไปทาง ป.ป.ช. จะไปดำเนินการเรื่องร่ำรวยผิดปกติ เรียกคืนทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน อย่างปี 64 เรียกคืนมาได้ 655.99 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีเรื่องตรวจสอบร่ำรวยผิดปกติอยู่ 300 กว่าเรื่อง ไต่สวนอยู่ 100 กว่าเรื่อง และถ้าจริงจังในเรื่องนี้ คนก็จะเกรงกลัว และมีความโปร่งใสเกิดขึ้น และเรากำลังแก้กฎหมาย ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแก้กฎหมาย
“ปีนี้ได้มอบหมายให้นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประเมินว่าจะปรับโครงสร้างหน่วยงานไต่สวนอย่างไร และจะเพิ่มสำนักไต่สวนคดีร่ำรวยผิดปกติขึ้นมา เพราะเป้าหมายคือต้องการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต “ไม่ทน ไม่ทำ ไม่เฉย” โดยเชื่อมั่นว่าเราได้เดินมาในทางที่ถูกต้องและแนวโน้มน่าจะมีความหวัง แต่คงจะต้องพิสูจน์กันต่อไป” พล.ต.อ.วัชรพล ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เด้งจนท.สรรพากรรีดเงิน1แสน
สรรพากรเด้งเจ้าหน้าที่เอี่ยวรีดเงินผู้ประกอบการ 1 แสน
จ่อฟันซ้ำ! 'ผบ.คุก - 19 ผู้คุม' พักราชการ-ให้ออกไว้ก่อน
'โฆษกกรมราชทัณฑ์' เผยอีก 1-2 วันนี้ เตรียมเปลี่ยนแปลงคำสั่ง 'ผบ.เรือนจำฯ-จนท.' รวม 20 ราย ส่อ 'พักราชการ-ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ขณะที่ 'ดีเอสไอ' ลุยสอบปากคำเก็บหลักฐานมัดผิด
เอาแล้ว! เรืองไกรร้อง ป.ป.ช.สอบที่มาเงินบริจาค-จักรยาน 'สส.ไอซ์'
เรืองไกร ร้อง ป.ป.ช. สอบที่มาเงินบริจาค สส.ไอซ์ จำนวน 203,000 บาท และจักรยานยื่นบัญชี หรือไม่
รมว.ยุติธรรม สั่งทบทวน แก้ไขหลักเกณฑ์ เอื้อนักโทษเทวดา ตามข้อสังเกตปปช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พ. ย. ที่ผ่านมา พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำหนังสือบันทึกข้อความ
ป.ป.ช.ฟัน 'สุรเดช' อดีตรองเลขาฯ สกสค. รวยผิดปกติ 13 ล้านบาท!
ป.ป.ช.ชี้มูล 'สุรเดช' อดีตรองเลขาฯสกสค. ร่ำรวยผิดปกติ 13 ล้าน
'รัดเกล้า' สวน บก.ลายจุด ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ขึ้น ศาลฎีกาฯแผนกคดีอาญา หากถูกกล่าวหาทุจริต
ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในการปฏิบัติหน้าที่ จะไม่ขึ้นศาลอาญาทั่วไป แต่จะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


