หนุน อส. ใช้ระบบ E-Ticket แก้ทุจริต แนะติดตั้ง ‘ระบบสแกนใบหน้า’ ช่วย ป้องกัน นทท. สวมสิทธิอัตราคนไทย  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ หนุน อส. นำระบบ E-Ticket มาใช้กับอุทยานแห่งชาติ 1 ต.ค. 68 นี้ แนะให้ใช้ระบบสแกนใบหน้า ป้องกันนักท่องเที่ยวสวมสิทธิ ช่วยบริหารเงินงบประมาณ 2,200 ล้านโปร่งใส

 29 เมษายน 2568 - ภายหลัง นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อส.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เปิดแถลงข่าวเรื่องการบริหารจัดการและการใช้จ่ายเงินอุทยานแห่งชาติ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 เม.ย. 2568 โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งมีการระบุว่า จะนำระบบ E-National Park ซึ่งมีฟังก์ชันของการจำหน่ายตั๋วผ่านระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ (E-Ticket) มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความโปร่งใสในการจัดเก็บรายได้ค่าเข้าให้ครบทุกอุทยานแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของนักวิชาการธรรมศาสตร์ก่อนหน้านี้

รศ. ดร.สุรศักดิ์ บุญเรือง ผู้ช่วยคณบดีคณะนิติศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ในฐานะอาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งได้เสนอให้มีการนำระบบ E-Ticket กลับมาใช้อย่างจริงจังและปรับปรุงในส่วนที่เป็นข้อจำกัดของระบบ เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในการจัดเก็บค่าเข้าอุทยานแห่งชาติฯ ที่ในปีงบประมาณ 2567 มีมูลค่ามากถึงราว 2,200ล้านบาท ได้แสดงความคิดเห็นอีกครั้ง

รศ. ดร.สุรศักดิ์ เปิดเผยว่า อธิบดีและคณะผู้บริหาร อส. ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของหน่วยงานราชการที่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงและตอบข้อสงสัยของสังคมผ่านสื่อมวลชนอย่างชัดเจนและเป็นทางการ ไม่ปล่อยให้สังคมเกิดข้อครหา และวิพากษ์วิจารณ์กันเอง ซึ่งนอกจากการชี้แจงปมข้อสงสัยแล้วยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการและสิ่งที่จะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคตอย่างชัดเจน การแถลงข่าวนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการติดตามสิ่งที่หน่วยงานได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ด้วย ส่วนตัวจึงขอให้กำลังใจในการทำงานเพื่อปรับปรุงระบบการจัดเก็บค่าเข้าอุทยานและการบริหารรายได้

อย่างไรก็ตาม ตามที่ อส. ได้ให้เหตุผลในการระงับการใช้ระบบ E-Ticket ในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผู้มีใช้งานระบบน้อย เพราะนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติยังคงนิยมการซื้อตั๋วผ่านทางอุทยานโดยตรงมากกว่า อีกทั้งยังเกิดปัญหาการสวมสิทธิในการเข้าอุทยานแห่งชาติโดยชำระค่าธรรมเนียมค่าเข้าในอัตราคนไทยแต่ผู้ที่เข้าไปคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงกรณีที่เกิดการซื้อตั๋วในระบบ E-Ticket น้อยกว่าและไม่ตรงตามจำนวนคนที่เข้าไปใช้บริการจริง ส่วนตัวจึงสนับสนุนแนวคิดของ อส. และควรเร่งนำระบบสแกนใบหน้า หรือการยืนยันตัวตน (authentication) ซึ่งเป็นกระบวนการยืนยันอัตลักษณ์ของบุคคลเข้ามาใช้ควบคู่กับการซื้อตั๋วเข้าชมอุทยานแห่งชาติฯ ผ่านระบ E-Ticket ด้วย ซึ่งการดำเนินการนี้ จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและง่ายต่อการตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยวที่แท้จริง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

รศ. ดร.สุรศักดิ์ กล่าวต่อไปด้วยว่า หากมีการนำระบบ E-Ticket มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถขยายการใช้งานให้ครอบคลุมทุกอุทยานแห่งชาติฯ ทั่วทั้งประเทศได้จริง จะก่อให้เกิดความน่าเชื่อและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ต่อเงินรายได้จากการจัดเก็บค่าเข้าอุทยานฯ อีกทั้งเม็ดเงินจำนวนมหาศาลซึ่งถือเป็นเงินขาเข้าอุทยานฯ นี้ เป็นสิ่งที่อส.สามารถนำมาบริหารจัดการได้เอง โดยไม่ต้องส่งคืนคลัง ดังนั้น หากนำระบบ E-Ticket และระบบยืนยันอัตลักษณ์บุคคลมาใช้อย่างจริงจัง ส่วนตัวเชื่อว่าปัญหาการทุจริตจะลดลง และเงินงบประมาณส่วนนี้จะเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สิ่งที่จะเสนอต่อไปคือ อส. ควรบริหารเงินขาออกให้เกิดความโปร่งใส โดยการสร้างกลไกให้ภาคประชาชนสามารถเข้ามารับรู้การใช้จ่ายเงินรายได้ ตลอดจนตรวจสอบ ติดตาม การใช้งบประมาณ หน่วยงานควรจะรายงานและแสดงตัวเลขออกมาให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า หากมีการบริหารเงินงบประมาณทั้งขาเข้าและขาออกให้เกิดความโปร่งใสได้ จะทำให้เงินที่สนับสนุนคนทำงานเหล่านี้มจำนวนเพิ่มขึ้น ทั้งยังส่งผลให้เกิดกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่และข้าราชการน้ำดี เพื่อการปฏิบัติอย่างเต็มกำลังมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำงบไปจัดซื้อโดรนบินสำรวจ เพื่อผ่อนแรงเจ้าหน้าที่และลดการใช้งบประมาณในการออกหน่วยลาดตระเวน สำหรับตรวจตราผู้กระทำผิดกฎหมาย และเป็นการระงับหรือป้องกันไม่ให้มีผู้ฝ่าฝืนหรือกระทำผิดกฎหมาย (crime prevention)

“มากไปกว่านั้น งบประมาณที่เพิ่มขึ้น กรมอุทยานแห่งชาติฯ ยังสามารถนำไปอุดหนุนองค์กรภาคประชาชน หรือหน่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการทำงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เคียงคู่และขนานไปกับการทำงานของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้อีกด้วย” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยกเลิก MOU 'เจ้ากรมแผนที่ทหาร-นักวิชาการ' สะท้อนต่างมุม

วงเสวนาไทย–กัมพูชาสะท้อนต่างมุม “เจ้ากรมแผนที่ทหาร” ชี้ปัญหาเขตแดนเป็นมรดกยุคอาณานิคม ย้ำ MOU คือกลไกแก้ปัญหาที่สั่งสมกว่า 20 ปี ขณะที่ “สว.ชิบ” เปิด 8 เหตุผล กมธ.วุฒิสภา หนุนยกเลิก MOU 2544 ป้องกันไทยเสียผลประโยชน์ทางทะเล

หนาวจัดปลายปี! เชียงใหม่คึกคัก ยอดดอยฮิต 'อินทนนท์' น้ำค้างแข็งติดลบ ดอยผ้าห่มปกซากุระบานรับนักท่องเที่ยว

ท่องเที่ยวฤดูหนาวเชียงใหม่กลับมาคึกคัก ยอดดอยอินทนนท์อุณหภูมิติดลบ เกิดเหมยขาบต่อเนื่อง ขณะดอยผ้าห่มปกดอกพญาเสือโคร่งบานกว่า 50% ดึงนักท่องเที่ยวแห่กางเต็นท์รับลมหนาวปลายปี

เอกฉันท์!‘กนง.’ลดดอกเบี้ย0.25% คงจีดีพีปี68ที่2.2%ครึ่งปีหลังชะลอ

เอกฉันท์! ‘กนง.’ มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.25% ต่อปี โดยให้มีผลทันที พร้อมคงจีดีพีปี 68 ไว้ที่ 2.2% แต่ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 69 เหลือ 1.5% ส่วนปี 70 ที่ 2.3%

ททท.ปลื้มนักท่องเที่ยวระยะไกลนิวไฮ 10 ล้านคน

ททท.ชี้ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลพุ่ง 10 ล้านคน สดใสต่อเนื่อง ยุโรป–อเมริกาโตเด่น สายการบินเพิ่มที่นั่งหนุนดีมานด์ คาดปี68 นักท่องเที่ยวสหราชอาณาจักรแตะเกือบ 1.1 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 8 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าการตลาดเชิงรุก

นักวิชาการ มธ. มองเลือกตั้งหน้า ‘พรรคประชาชน’ โดดเดี่ยว อำนาจต่อรองไหลกลับเพื่อไทย

นักวิชาการธรรมศาสตร์วิเคราะห์ผลจากการยุบสภา ชี้สมการการเมืองหลังเลือกตั้งมีแนวโน้มทำให้พรรคประชาชนโดดเดี่ยว สูญเสียอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่บทบาทต่อรองมีโอกาสไหลกลับไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางการแข่งขันของการเมือง 3 ขั้ว

ยังไม่ใช่เวลาเจรจาสันติภาพ นักวิชาการ มธ. ชี้ต้องปกป้องอธิปไตยก่อน แนะวิธีสื่อสารเชิงรุกสู้กัมพูชา

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยเจรจาสันติภาพกับกัมพูชา แต่ปลายทางคือต้องเจรจาบนโต๊ะ ชี้ไทยต้องปกป้องอธิปไตยไปจนสถานการณ์กลับสู่ปกติก่อนแล้ว