จำคุก 1 ปี 'ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร' ผิด ม.157 คดีตรวจรับงานเท็จ ยกฟ้องข้อหาทุจริต-ฮั้วประมูลสร้างอาคารหน่วยพิทักษ์ฯ

เปิดคำพิพากษาคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผิด ม.157 คดีตรวจรับงานเท็จ โครงการก่อสร้างที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต ส่วนข้อทุจริตฯ-ฮั้วประมูล ศาลยกฟ้อง

17 กันยายน 2568 - ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จังหวัดสมุทรสงคราม ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.65/2567 ที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรอดีต ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯมาตรา 4,12

กรณีดำเนินการโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมิชอบ

โดยจำเลยทั้ง7 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 6,7 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ

โดยศาลพิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคาที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมฯ

ในส่วนของจำเลยที่ 1,2และที่ 4-7และความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

ในส่วนของจำเลยที่ 2-7 นั้นโจทก์จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดฐานต่างๆ ดังกล่าวมายังศาลภายในกำหนด 10ปีนับแต่วันกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนด 10ปีนับแต่วันกระทำความผิด คดีความผิดฐานต่างๆ ข้างต้นจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับความผิดฐานดังกล่าวของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)

แม้จำเลยทั้งเจ็ดจะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

ส่วนความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เเห่งที่1 เเละ2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 6,7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยการกีดกันไม่ให้มีการเสนอสินค้าอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐฯ เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่6,7 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น

ในส่วนของจำเลยที่ 4,5 ทางไต่สวนได้ความว่ามีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่6,7แต่มิได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารงานของจำเลยที่ 6,7 ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือนายสนอง

โดยจำเลยที่4,5ให้การและนำสืบทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่รู้เห็นและไม่ทราบเรื่องที่นายสนองอนุญาตให้นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7ไปซื้อซองประกวดราคา เข้าเสนอราคาและทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท ทั้งมิได้เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่จำเลยที่4,5 ขอให้ศาลส่งหนังสือมอบอำนาจที่ระบุว่าจำเลยที่ 4,5 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจพิสูจน์ ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน และเจือสมกับที่พยานโจทก์ปากนางสาวอัญชลี ได้ให้การและเบิกความยืนยันว่าจำเลย4,5ไม่เคยสั่งให้พยานทำ รับมอบหรือส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับโครงการพิพาท

ทั้งนางนฤมลซึ่งเป็นบุตรสาวนายสนองก็ให้การและเบิกความทำนองว่าเพิ่งมาทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 จากนางสาวอัญชลีและนายสนอง ภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว

จึงเป็นไปได้ว่าจำเลยที่4-5ทราบเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำ

ส่วนจำเลยที่ 12และที่6-7 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์ให้การและเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญว่า

จำเลยที่ 1ขอใช้ชื่อจำเลยที่6,7 จากนายสนอง นำไปเป็นผู้เสนอราคาในการประกวดราคาก่อสร้างโครงการพิพาท โดยจำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัยไปซื้อซองเอกสารประกวดราคาพร้อมแบบแปลนอาคาร ยื่นเอกสารประกวดราคาและเข้าร่วมเสนอราคาในนามของจำเลยที่6-7 และสั่งการให้จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แทนจำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่6-7 มิได้มีเจตนาที่จะเข้าเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาทมาตั้งแต่แรก และมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทตามสัญญาแต่อย่างใด

แต่จำเลยที่ 1มอบหมายให้จำเลยที่ 3ติดต่อหาช่างมาดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทแทนและให้ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาดังกล่าวสั่งซื้อวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการพิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ซึ่งเป็นห้างในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 6-7 โดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อ

เมื่อสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้างและโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จึงนำเงินที่ได้รับดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ค่าวัสดุที่มีการสั่งซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดท่ายางค้าไม้ และคืนเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 2 นำไปจ่ายเป็นค่าแรงให้แก่ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาต่อไป

เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-2และที่ 6-7 ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่จำเลย6-7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ

แต่อย่างไรก็ดีสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนายสนอง เชื่อว่าเป็นเพราะไม่มีผู้สนใจเข้าเป็นผู้เสนอราคา และจำเลยที่ 1 เกรงว่างบประมาณที่ได้รับจะตกไปทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการพิพาทได้ จำเลยที่ 1 จึงขอให้นายสนองช่วยเหลือโดยขอใช้ชื่อห้างของนายสนองมาเป็นผู้เสนอราคา

โดยจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการใดอันเป็นการกีดกันมิให้ผู้อื่นเข้ามาเสนอราคา หรือเอาเปรียบกรมอุทยานแห่งชาติฯ แต่อย่างใด และเมื่อการประกวดราคาโครงการพิพาทมีผู้เสนอราคาเพียง 2 ราย คือจำเลยที่6,7เท่านั้น โดยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องแข่งขันราคากัน แต่เหตุที่ต้องใช้ชื่อจำเลย
เข้าเป็นผู้เสนอราคา น่าจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นผู้เสนอราคาเดียว ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาอาจเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการให้ยกเลิกการประกวดราคาได้

ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาหรือความมุ่งหมายที่จะมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการประกวดราคาโครงการพิพาท

พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารรายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ เมื่อจำเลยที่ 1 ตัวการไม่มีความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 2,67 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนฃในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย

ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ หรือไม่นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการพิพาท มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างและเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน
โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา

เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้อง ครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาแล้ว ก็ต้องทำใบรับรอง เพื่อเบิกจ่ายเงินตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง แล้วรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการในสัญญาก็ต้องรายงานหัวหน้าส่วนราชการผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อทราบ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ

พยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 1มอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อหาช่างมาดำเนินโครงการพิพาท และให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงานฝ่ายผู้รับจ้าง โดยจำเลยที่ 1 มิได้เข้าไปควบคุมงานด้วยตนเอง เมื่อมีปัญหาข้อขัดข้องไม่สามารถก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ นายรุ่งจะสอบถามและดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องไปตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3แจ้งปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบด้วยหรือไม่

จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยที่1 เข้าไปตรวจการจ้างโครงการพิพาท จำเลยที่ 1 อาจไม่เห็นงานก่อสร้างโครงการพิพาทที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุในส่วนรายการที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ในส่วนของงานฐานราก เป็นต้น

แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่นายสัมฤทธิ์และนายรุ่งต่างให้การและเบิกความสอดคล้องกันว่า นายรุ่งก่อสร้างโครงการพิพาทไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุซึ่งสามารถตรวจสอบและมองเห็นได้ด้วยตาหลายรายการ อาทิ ในส่วนอาคารที่ทำการ ตามบัญชีแสดงปริมาณวัสดุระบุโครงสร้างหลังคา เช่น อกไก่ จันทัน แป อะเส ตะเฆ่ ฯลฯ เป็นไม้เนื้อแข็ง
และตามแบบรูปรายการระบุเป็นไม้แต่กลับมีการก่อสร้างโดยใช้เหล็กรูปพรรณแทนไม้เนื้อแข็ง ในส่วนงานมุงหลังคา ไม่พบรางน้ำฝนรอบอาคารที่ทำการตามที่กำหนดในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ในส่วนโถส้วมของอาคารที่ทำการและบ้านพักคนงาน ขนาด 4 ครอบครัว (แบบแยกหลัง) ตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุที่กำหนดให้มีโถส้วมเป็นแบบนั่งราบมีถังเก็บน้ำ (ฟลัชแท็งก์) รุ่นประหยัดน้ำ 6ลิตร แต่นายรุ่งกลับใช้โถส้วมเป็นแบบนั่งราบราดน้ำ

จำเลยที่ 1 ทำหนังสือชี้แจงและเบิกความรับว่า เดินทางไปตรวจสอบงานก่อสร้างว่าผู้รับจ้างปฏิบัติงานถูกต้องเป็นไปตามแบบรูปรายการหรือไม่ ย่อมจะต้องเห็นงานก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุดังกล่าว ทั้งทราบดีว่าจำเลยที่ 6ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามสัญญามิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท และนายรุ่งมิใช่ผู้รับจ้างช่วงจากจำเลยที่ 6

การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจการจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่า ถูกต้องตามสัญญาจ้างงวดที่ 1-10(งวดสุดท้าย) เป็นเงินจำนวน 3,527,000 บาท จึงเป็นการรายงานเท็จ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนที่อ้างทำนองว่าไม่มีเจตนาทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือรัฐได้รับความเสียหายและไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารายการวัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุมีราคาถูกกว่ารายการตามที่ระบุในแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ทั้งจำเลยที่ 6 มิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามสัญญา

การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรอง เพื่อเป็นหลักฐานให้สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3อนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน 3,499,037 บาทให้แก่จำเลยที่ 6 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และเป็นผลให้จำเลยที่ 6 และนายรุ่ง ได้รับประโยชน์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดฯเเละเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 123/1 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก ๑ ปี ๖ เดือน คำเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2-7 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกทั้งนี้ ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์ ตีราคาประกัน3 เเสนบาท

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก 'วิฑูรย์ นามบุตร' 3 ปี คดีรีดสินบน 30 ล้าน

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 3 ปี นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

กำนันนกอ่วม! 'ดีเอสไอ' แจ้งเพิ่ม 4 ข้อหา ฮั้วประมูล e-bidding 2 โครงการสร้างถนน

"ดีเอสไอ" บุกเรือนจำคลองเปรม แจ้งข้อหาเพิ่ม "กำนันนก" คดีฮั้วประมูล 2 โครงการถนนนครปฐม มูลค่าความเสียหายพันล้าน พบพิรุธหลีกเลี่ยงแข่งขันราคา-เอาเปรียบรัฐ

คุก 6 ปี อดีตนายก อบต. กับเมีย ซี 8 ฮั้วจัดซื้อรถดับเพลิง เอกชน 3 รายโดน 4 ปี

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จังหวัดสระบุรี ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อท.129/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อท.108/2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ ฟ้อง นายภัทรพล จำปารัตน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

'อดีตผู้พิพากษา' ชี้ช่องฟ้อง กรรมการ ป.ป.ช. ฐานประพฤติมิชอบ จากปม 'นาฬิกาหรู'

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง จะฟ้องกรรมการ ป. ป. ช. ฐานประพฤติมิชอบได้อย่างไร มีเนื้อหาดังนี้