
นักวิชาการธรรมศาสตร์ ระบุขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยเจรจาสันติภาพกับกัมพูชา แต่ปลายทางคือต้องเจรจาบนโต๊ะ ชี้ไทยต้องปกป้องอธิปไตยไปจนสถานการณ์กลับสู่ปกติก่อนแล้วค่อยคุย แนะต้องเพิ่มประเด็นการสื่อสารให้ประชาคมโลกเข้าใจว่า ไทยกำลังป้องกันภัยคุกคาม ไม่ใช่แค่ป้องกันการถูกโจมตีก่อนเท่านั้น
11 ธันวาคม 2568 - ผศ. ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดการเจรจาสันติภาพกับกัมพูชา เนื่องจาก จากพฤติการณ์ที่ตรวจพบ สถานการณ์ความตึงเครียดเกิดจากการที่กัมพูชาได้กระทำการล่วงล้ำต่ออำนาจอธิปไตยของไทย ไทยจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการป้องกันตนเองให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อน การเจรจาจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพ และเป็นไปเพื่อสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนตามกรอบข้อตกลงระหว่างสองประเทศ
“ไทยต้องสื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ศักยภาพทางการทหารที่สูงกว่าของไทยถูกใช้ด้วยความยับยั้งชั่งใจ โดยจำกัดเป้าหมายไว้เฉพาะภัยคุกคามทางทหาร เพื่อป้องกันความสูญเสียของพลเรือนทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะของไทยเท่านั้น เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ไทยย่อมพร้อมเปิดช่องเพื่อกลับไปสู่กระบวนการเจรจาและปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพที่มีอยู่เดิมระหว่างสองประเทศ” ผศ. ดร.ธนภัทร กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นวิธีการเดิมๆ เพื่อสร้างให้เกิดภาพต่อประชาคมโลกว่ากัมพูชาเป็นประเทศเล็กและเป็นเหยื่อที่กำลังโดน ประเทศใหญ่อย่างไทยรังแกด้วยการโจมตีอาวุธหนักใส่พลเรือนของกัมพูชา ซึ่งการสื่อสารระหว่างประเทศของไทยในขณะนี้ถือว่าดำเนินการได้ดี คือ ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าไทยใช้อำนาจป้องกันตนเองตามความจำเป็นต่อภัยคุกคามที่เกิดจากฝ่ายกัมพูชา โดยควรเน้นเพิ่มเติมว่ามาตรการดังกล่าวเป็น การป้องกันภัยคุกคามเฉพาะหน้า ไม่ใช่เพียงตอบโต้การถูกโจมตีก่อนเท่านั้น
“ควรสื่อสารให้ชัดว่า การดำเนินการของไทยเป็นการป้องกันภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงและอธิปไตยของไทย การโจมตีของไทยเป็นการจำกัดเป้าหมาย โดยไม่เกี่ยวข้องกับพลเรือน และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการทำลายโครงสร้างการทหารของกัมพูชาอย่างเป็นระบบ หรือแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชาแต่อย่างใด” ผศ. ดร.ธนภัทร กล่าว
รศ. ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ไทยควรสื่อสารต่อประชาคมโลกคือการบอกว่า ประเทศไทยกระทำการทางการทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยตนเองเท่านั้น และยังคงยอมรับในกระบวนการเจรจาสันติภาพ โดยเชื่อมั่นในหลักสันติวิธีและหลักของสิทธิมนุษยชน ไม่ได้มองเรื่องนี้ในมุมมองแบบชาตินิยมสุดขั้ว
รศ. ดร.วิไลวรรณ กล่าวว่า ภาพรวมการสื่อสารของไทยในเหตุการณ์ไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ยังเป็นการสื่อสารแบบตั้งรับแตกต่างกับกัมพูชาที่สื่อสารเชิงรุก ซึ่งในสถานการณ์สงครามนั้นผู้ที่ทำการสื่อสารก่อนย่อมได้เปรียบเสมอ ดังนั้นประเทศไทยควรแต่งตั้งหน่วยงานหรือบุคคลที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารเชิงรุกอย่างชัดเจน และเลือกประเด็นการสื่อสาร เช่น การดำเนินการทางทหารในขณะนี้เป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของตัวเอง และตอกย้ำประเด็นการสื่อสารนี้อย่างต่อเนื่อง
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2568 เป็นต้นมา ผู้นำกัมพูชามีความพยายามทำสิ่งที่เรียกว่า grand narrative หรือการสร้างเรื่องเล่าขนาดใหญ่ เพื่อสื่อสารให้คนในประเทศและประชาคมโลกเกิดความรู้สึกเห็นใจต่อสิ่งที่กัมพูชาในฐานะประเทศเล็กๆ ต้องพบเจอ คือเป็นเหยื่อที่น่าสงสารจากการกระทำของไทยที่มีศักยภาพทางการทหารสูงกว่า นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่สื่อต่างประเทศระดับแนวหน้าอย่าง CNN, BBC, The Guardian และ Al Jazeera ต่างรีบนำเสนอข่าวในช่วงแรกว่า ไทยเป็นผู้เปิดฉากการโจมตีทางอากาศกัมพูชาก่อน
ทั้งนี้ การตอบโต้ grand narrative ที่กัมพูชาสร้างขึ้นด้วยข้อมูลเท็จนั้น ไทยต้องตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เชื่อถือได้ ที่สำคัญคือต้องตอบสนองด้วยความรวดเร็ว และไม่ใช้ความคิดเห็น (opinion) ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกชาตินิยมแบบที่ผ่านๆ มา สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการสื่อสารของไทย ต้องไม่ใช้ข่าวปลอมมาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเด็ดขาด เพราะวิธีการนี้จะเกิดผลบวกในระยะสั้น แต่จะสร้างผลกระทบเสียหายมหาศาลในระยะยาว
รศ. ดร.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีประสบการณ์การอพยพจากภัยพิบัติต่างๆ มาแล้ว แต่การอพยพจากเหตุไทย-กัมพูชาครั้งนี้ดูมีแนวโน้มใหญ่ที่สุด ดังนั้นรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้น้ำหนักความสำคัญกับความพร้อมในศูนย์อพยพเป็นลำดับแรกๆ
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้อพยพหลักแสนรายอาจเกินกำลังในการจัดดูแลอย่างทั่วถึงของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างกลุ่มที่มีความต้องการจำเป็นหรือมีความเสี่ยงเป็นพิเศษ เช่น เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้องรังและคนพิการ ฉะนั้นในระยะสั้น ควรจะนำคนในพื้นที่มาอบรมเพื่อเป็นอาสาสมัครในการทำงานด่านหน้า และประสานการทำงานมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือภาคีองค์กรวิชาชีพต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองการช่วยเหลือผู้อพยพในศูนย์พักพิงได้ทันท่วงที ส่วนในระยะยาว ควรจัดทำฐานข้อมูลผู้อพยพเพื่อติดตามประเมินผลทั้งสุขภาพร่างกาย จิตใจ และสังคมเมื่อเดินทางกลับบ้านว่าเป็นอย่างไร นอกจากนี้ภาครัฐควรจะมีมาตรการในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมและได้สัดส่วนกับความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กองทัพรวบรวมหลักฐานเขมรใช้โบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร!
กองทัพไทยรวบรวมหลักฐานกรณีกัมพูชาใช้โบราณสถาน เป็นฐานปฏิบัติการทางทหารโจมตีฝ่ายไทย พร้อมยืนยันไทยสามารถใช้สิทธิ์ป้องกันตนเอง ในกรณีดังกล่าวได้
ทัพภาค 2 เปิดหลักฐานเขมรยิง BM-21 ใส่พื้นที่พลเรือนไทย
เพจกองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ข้อความพร้อมอินโฟกราฟฟิกภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ไทยสูญเสียทหารรายที่ 8/เขมรเปิดฉากยิงตั้งแต่ตีห้าครึ่ง
ไทยสูญเสียทหารรายที่ 8 โดย 2 ราย ล่าสุดจากเหตุกระสุนปืน ค.ตกข้างยานเกราะล้อยางสไตรเกอร์ที่ 'ตาพระยา' ขณะที่เช้านี้ 'กัมพูชา' เปิดฉากยิงทหารไทยแล้ว 2 จุด
กัมพูชาถอนตัวซีเกมส์ ขอบคุณมิตรภาพจากไทย หวั่นไม่ปลอดภัยจากเหตุปะทะ
จากการที่นักกีฬากัมพูชาได้ถอนตัวจากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยได้มีการแจ้งถอนตัวทั้งหมด เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมนั้น
ตรรกะป่วยของ 'ณัฐพงษ์-ธนาธร' จากวิกฤตชายแดนสู่โรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัด
จากชายแดนที่ไทยถูกยิงจริง ไปจนถึงเวทีสัมมนาที่ฝันเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัดประเทศ พรรคส้มแสดงวิธีคิดชุดเดียวกัน คือขยายอุดมคติให้ใหญ่กว่าข้อเท็จจริง มองข้ามประวัติผิดข้อตกลง มองข้

