ศึกซักฟอก หรือ การอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จะเริ่มขึ้นภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังพรรคประชาชน ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เตรียมยื่นญัตติต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 กุมภาพันธ์
โดยมีรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอกราว 10 ราย แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อทั้งหมด แต่สามารถคาดเดาได้ว่าเป้าหมายหลักจะหนีไม่พ้นผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคม
หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับตามากที่สุดคือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายค้านน่าจะพุ่งประเด็นไปที่ “วุฒิภาวะของผู้นำ” พร้อมโยงไปถึงอิทธิพลของ “ทักษิณ ชินวัตร” ท่ามกลางข้อครหาว่าการบริหารประเทศอาจอยู่ภายใต้เงาของบุคคลภายนอก
สำหรับรัฐมนตรีด้านความมั่นคงที่จะถูกซักฟอกแน่นอน ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถูกจับตามองในแง่การบริหารจัดการปัญหาภายในและการใช้ทรัพยากรด้านความมั่นคง
ด้านรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจและสังคม คาดว่าจะมีการอภิปรายหนักในประเด็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยเฉพาะ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องตอบคำถามเกี่ยวกับความล่าช้าและความไม่ชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
รวมถึง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะถูกอภิปรายในประเด็นค่าพลังงานที่สูงกระทบค่าครองชีพประชาชน และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่จะถูกซักฟอกในกรณีการบริหารประกันสังคมซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคม
แม้การซักฟอกครั้งนี้ฝ่ายค้านจะไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่การเปิดโปงข้อมูลบางประเด็นอาจสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลในระยะยาว โดยเฉพาะหากข้อมูลที่นำมาอภิปรายเป็นข้อเท็จจริงที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะเป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและความสามารถของรัฐบาลในการบริหารประเทศ
ปัจจุบัน รัฐบาลมีเสียงรวมประมาณ 321 เสียง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 142 เสียง, พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง, พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, พรรคกล้าธรรม 24 เสียง, พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง, พรรคประชาชาติ 9 เสียง, พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง, พรรคไทยรวมพลัง 2 เสียง และพรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
ในขณะที่ฝ่ายค้านมีเพียง 172 เสียง ซึ่งประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง, พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง, พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง, พรรคเป็นธรรม 1 เสียง, พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง และพรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ภายในฝ่ายค้านเองยังเผชิญปัญหาเสียงแตก โดยเฉพาะในพรรคพลังประชารัฐของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพรรคไทยสร้างไทยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่ง สส.บางส่วนแม้ตัวจะอยู่ในฝ่ายค้าน แต่ใจไปอยู่ พรรคกล้าธรรมและพรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว
สำหรับกระแสข่าวที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจหักหลังกันเองคล้ายกับเหตุการณ์อภิปรายไม่ไว้วางใจสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเคยมีความพยายามโค่นอำนาจจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่ไม่สำเร็จนั้น คงไม่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะการจับมือร่วมกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นสัญญาณชัดเจนถึงความแนบแน่นระหว่างสองพรรค
ด้วยเหตุนี้ โอกาสที่ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน จะสามารถล้มรัฐบาลในศึกซักฟอกครั้งนี้จึงปิดตายอย่างสิ้นเชิง แต่ในเมื่อ “โค่นรัฐบาลไม่ได้” ก็ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อ “สร้างผลงาน” โดยเฉพาะในฐานะพรรคฝ่ายค้านหลักที่มีภารกิจสำคัญในการ “ตรวจสอบรัฐบาลและสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน”
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ต้องใช้เวทีนี้แสดงศักยภาพของพรรค ผ่านข้อมูลที่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ มากกว่าการใช้ข้อมูลที่ตัดแปะจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งไร้ที่มาที่ไปและขาดความน่าเชื่อถือ
อย่าลืมว่าประชาชนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด หากสามารถแสดงให้เห็นถึงความจริงจังและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบรัฐบาล แม้จะแพ้เสียงโหวตในสภา แต่ก็จะสามารถ “ชนะใจประชาชน” นอกสภาได้ ซึ่งจะเป็นการรักษาฐานเสียงสำคัญของพรรคในเขตเมืองที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลและเหตุผล
อีกประเด็นที่พรรคประชาชนต้องทบทวนอย่างจริงจังคือเรื่อง “อุดมการณ์และยุทธศาสตร์ของพรรค” ซึ่งสืบทอดมาจากพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหวในสังคมไทย จนทำให้ทั้งพรรคและบุคลากรหลายคนต้องหมดอนาคตทางการเมือง อีกทั้ง สส.อีก 25 คนของพรรคก็กำลังเผชิญกับข้อกล่าวหาจาก ป.ป.ช. ในประเด็นจริยธรรมร้ายแรงเกี่ยวกับการลงชื่อแก้ไขมาตราดังกล่าว
พรรคประชาชนจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ใหม่โดยหันไปมุ่งเน้นการต่อสู้กับ “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” และการสร้างนโยบายที่ประชาชนสามารถ “จับต้องได้” เพราะต้องไม่ลืมว่าคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงที่พรรคก้าวไกลได้รับในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากความต้องการให้พรรคแก้มาตรา 112 เพียงเท่านั้น
แต่เกิดจากความหวังที่จะเห็นพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจริง และความเบื่อหน่ายต่อพรรคการเมืองเก่าที่หมกมุ่นกับการแย่งชิงอำนาจจนประเทศหยุดชะงัก
หากพรรคประชาชนสามารถปรับแนวทางได้สำเร็จ จะกลายเป็นพรรคการเมืองที่มีพลังมหาศาลและแข็งแกร่งในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่คู่แข่งสำคัญอย่าง พรรคเพื่อไทย ซึ่งนับวันจะยิ่งเผชิญกับการสูญเสียความนิยมลงเรื่อยๆ
แม้การกลับประเทศและกลับมามีอิทธิพลทางการเมืองอีกครั้งของ “ทักษิณ” จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับ สส. และผู้สนับสนุนในระยะแรก แต่จะกลายเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้พรรคในระยะยาว
เพราะแม้จะช่วยเสริมความมั่นคงภายในพรรค แต่ขณะเดียวกันก็ปลุกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและความโปร่งใสในการบริหารประเทศ ยิ่งเวลาผ่านไปกระแสเหล่านี้จะยิ่งกัดเซาะความเชื่อมั่นจากประชาชน
ปัจจัยสำคัญที่สุดคืออนาคตของพรรคเพื่อไทยหลังยุค “ทักษิณ” เพราะแม้วันนี้ยังมีอิทธิพลในการชี้นำทิศทางของพรรค แต่ด้วยวัย 76 ปี เวลาของ ทักษิณ กำลังนับถอยหลัง ซึ่งหากถึงวันที่เขาไม่สามารถคุมเกมการเมืองได้อีกต่อไป พรรคเพื่อไทยจะต้องเผชิญปัญหา “สุญญากาศทางอำนาจ” เนื่องจากยังไม่มีผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถรวบรวมทุกกลุ่มภายในพรรคได้อย่างแข็งแกร่ง
ดังนั้น หากพรรคประชาชนสามารถเดินเกมการเมืองได้อย่างรอบคอบ รักษาฐานเสียงคนรุ่นใหม่และขยายฐานเสียงในกลุ่มประชาชนทั่วไปด้วยนโยบายที่จับต้องได้ พร้อมกับสร้างภาพลักษณ์ของพรรคที่ “ตรวจสอบรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์” โดยไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมที่สร้างความขัดแย้งในสังคม
ศึกซักฟอกครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ในระยะยาวอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้ประชาชนเริ่มหันมามองพรรคประชาชนในฐานะ “ความหวังใหม่” ของประเทศ เพราะในเกมการเมืองที่ยาวนาน สิ่งสำคัญไม่ใช่การรีบวิ่งเข้าเส้นชัย แต่คือการเดินอย่างมั่นคงในทุกก้าวด้วยความเชื่อที่ว่า “เวลาอยู่ข้างเรา”
และเมื่อถึงวันนั้น พรรคประชาชนอาจไม่ได้เป็นแค่ “ฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง” แต่จะกลายเป็น “ผู้ชนะที่แท้จริง” บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดชื่อผู้สมัคร สส.กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต
เปิดชื่อว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. พรรคประชาชน ครบ 33 เขต ส่วนใหญ่หน้าเดิม พบ 10 เขต เปลี่ยนตัว คาด ‘ณัฐชา-รักชนก-ปิยรัฐ’ ขยับลง สส. บัญชีรายชื่อ พร้อมส่ง ‘ชุลพล หลักคำ’ ลงลาดกระบังซ้ำ หวังแก้มือ ‘ธีรรัตน์’ ด้าน ‘เฉลิมชัย-พงศ์พันธ์’ หลุดโผ
ดร.สติธร ประเมินเลือกตั้ง “น้ำเงิน-ส้ม” สู้กันเดือด ก่อน ภูมิใจไทย โกย 150 ที่นั่ง นั่งแกนนำตั้งรัฐบาล สดใส
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินภาพรวมสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ว่า แม้จะเห็นภาพ 3 สี 3 ขั้ว แต่ในทางปฏิบัติ คู่ชิงตัวจริงมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย
มาถูกทาง! 'หมอสุภัทร' เปิดใจลงสมัคร สส. ในนามพรรคประชาชน
"หมอสุภัทร" เผยตัดสินใจสวมเสื้อพรรคส้ม ถึงเวลาที่ต้องก้าวออกจากเซฟโซน ลาออกราชการรับใช้บ้านเกิด มั่นใจหาดใหญ่ต้องดีกว่านี้
'วิโรจน์ ลักขณาอดิศร' วางมือ ตัดสินใจไม่ลงสมัครเลือกตั้ง 69
"วิโรจน์" ตัดสินใจ ไม่ลงสมัคร สส. อีก 1 ราย ต่อจาก "เท่าพิภพ" ด้าน "โตโต้" ที่ประกาศไม่ลงเขต ล่าสุดลงสมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์แทน
เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ

