
การเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะ “สงบศึก” เมื่อแกนนำพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีความขัดแย้ง และรัฐบาลจะเดินหน้าไปตลอดวาระ 4 ปี ตามโรดแมปที่วางไว้
แต่ในความเงียบสงบนี้ กลับมีพายุลูกใหม่กำลังก่อตัวจากปัจจัยภายนอกที่รัฐบาลเลี่ยงไม่ได้
การเลื่อนพิจารณาออกไปเป็นวันที่ 6 มีนาคม ว่าจะรับกรณีการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็น “คดีพิเศษ” หรือไม่นั้น สะท้อนให้เห็นว่าการเมืองหลังฉากยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีความเป็นไปได้ที่การเจรจาต่อรองระหว่างฝ่ายที่ต้องการให้เดินหน้าตรวจสอบกับฝ่ายที่ต้องการสกัดเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว
และเชื่อว่าในที่สุด คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจเป็นฝ่ายรับทำคดีนี้เอง ทั้งในส่วนของคดีอาญาตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ และจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมา
แม้คลื่นลมทางการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับประเด็น “ฮั้วเลือกสว.” ซึ่งเชื่อมโยงกับฐานอำนาจของเครือข่ายสีน้ำเงินในสภาสูง จะถูกมองว่าอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหักหรือสลับขั้วทางการเมือง ดึงพรรคการเมืองอีกปีกเข้าร่วมรัฐบาลแทน
แต่สถานการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ก่อนวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันปิดสมัยประชุมรัฐสภา และกว่าที่สภาจะเปิดอีกครั้งก็ต้องรอจนถึงเดือนกรกฎาคม
ในระหว่างนี้ โฟกัสทางการเมืองที่สำคัญจึงน่าจะอยู่ที่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้โครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลเดิม โดยเฉพาะหลังจากที่มีการ “ประชุมลับ” ของ ครม. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งมีการมอบหมายให้ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือสอบถามศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคำนิยามของ “คนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของฝ่ายรัฐบาล เนื่องจากในอดีต คำวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็น “ความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์” เคยเป็นเหตุให้ "เศรษฐา ทวีสิน" ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีแต่งตั้ง "พิชิต ชื่นบาน" เป็นรัฐมนตรี การปรับครม. ของแพทองธาร ชินวัตร ในรอบนี้ จึงต้องระมัดระวังไม่ให้ซ้ำรอยกรณีดังกล่าว
ดูจากไทม์ไลน์ทางการเมืองแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าการปรับ ครม. จะเกิดขึ้นหลังจากศึกซักฟอกหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่พรรคประชาชนในฐานะแกนนำฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติต่อประธานสภาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ก่อนที่จะมีการกำหนดวันอภิปราย ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมีนาคม
พิจารณาจากจำนวนเสียงของ สส. ฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่ในขณะนี้ คงเป็นไปได้ยากที่ฝ่ายค้านจะสามารถล้มรัฐบาลลงได้ ดังนั้นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นไปได้มากที่สุดหลังศึกซักฟอกก็คือการปรับ ครม.
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ในสภาได้ แต่ปัจจัยภายนอกที่กำลังก่อตัวขึ้นอาจกลายเป็นแรงกระแทกสำคัญที่รัฐบาลแพทองธาร ต้องเผชิญหลังจากนี้
โดยเฉพาะสองประเด็นใหญ่ที่กำลังเป็นที่จับตามองในเดือนมีนาคม ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งรวมถึงการเปิดบ่อนการพนันหรือ “กาสิโน” โดยวันที่ 1 มีนาคม จะเป็นวันสิ้นสุดการรับฟังความคิดเห็น ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาลแพทองธารในลำดับต่อไป
แนวคิดเรื่อง “กาสิโน” ได้รับแรงคัดค้านจาก เครือข่ายภาคประชาชน ภาควิชาการ ที่กังวลว่าการขยายตัวของอุตสาหกรรมการพนันจะส่งผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามชูประเด็นว่ากาสิโนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว แต่กลับไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการป้องกันผลกระทบทางสังคมและแนวทางรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
อีกประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเลี่ยงไม่ได้คือกรณี “ป่วยทิพย์ชั้น 14” ซึ่งแพทยสภาจะมีข้อสรุปเกี่ยวกับการสอบจรรยาบรรณกรณีการรักษา "ทักษิณ ชินวัตร" ที่โรงพยาบาลตำรวจ
หากผลการสอบสวนชี้ว่ามีการกระทำผิดจรรยาบรรณ และสะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้ช่องทางพิเศษเพื่อให้ "ทักษิณ" ได้อยู่โรงพยาบาลแทนเรือนจำ ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ย่อมจะเกิดกระแสกดดันทางการเมืองที่พุ่งเป้ามายังรัฐบาลแพทองธาร อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยไทม์ไลน์ทางการเมืองข้างต้น แม้ในพรรคร่วมรัฐบาลจะดูเหมือนทุกอย่างเริ่มจะนิ่ง แต่ปัจจัยภายนอกที่กำลังก่อตัว อาจกลายเป็นพายุที่กระแทกรัฐบาลในช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป
แม้จะยังไม่ถึงขั้นพลิกขั้วหรือเปลี่ยนรัฐบาล แต่แรงเสียดทานจากปัจจัยเหล่านี้ จะทำให้รัฐบาลต้องเหนื่อยกับการประคองตัวไปจนถึงสมัยประชุมใหม่ในเดือนกรกฎาคม และจะส่งผลสะสมเป็นแรงกระเพื่อมที่อาจมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะยาว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอวรงค์' มองภาพ 'เบนสมิธ' ร่วมวง 'ทักษิณ-ธรรมนัส' น่ามีผลต่อปท. มากกว่ารูปเก่า 'อนุทิน'
ภาพที่มีเบน สมิธกับทักษิณ และมีธรรมนัส น่าจะมีน้ำหนักสร้างผลกระทบต่อประเทศชาติมากกว่า เมื่อเทียบกับภาพเมื่อ 10 ปีที่แล้วของนายอนุทิน แต่สิ่งที่นายอนุทินต้องพิสูจน์ อาจจะมีบางสิ่งบางอย่างผ่านมาทางธรรมนัสก็ได้
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

