‘สุริยะใส’ ชี้ขึ้นภาษี 37% ของสหรัฐฯต่อไทย เกมภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ

6 เม.ย.2568-ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กเผยแพร่บทวิเคราะห์ เนื้อหาระบุ

เมื่อการขึ้นภาษี 37% ของสหรัฐฯ ต่อสินค้าจากไทย ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่คือเกมภูมิรัฐศาสตร์

1. วิเคราะห์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)

1.1 อเมริกาใช้การค้ากับการเมืองเป็นเครื่องมือกดดัน การขึ้นภาษีในยุคทรัมป์ไม่ใช่แค่ประเด็นเศรษฐกิจ แต่เป็น “กลยุทธ์การทูตทางภูมิรัฐศาสตร์” โดยเฉพาะต่อประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าไม่ได้อยู่ในแนวร่วม หรือมีดุลการค้าเอื้อประโยชน์ฝ่ายเดียว ตัวอย่างเช่น จีน เม็กซิโก เวียดนาม และแม้แต่ประเทศไทย

1.2 ไทยโดนลากเข้าในเกมอำนาจโลก แม้ไทยจะไม่ใช่ “คู่ปรปักษ์โดยตรง” ของสหรัฐฯ แต่ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จีนกำลังขยายอิทธิพล เช่น ผ่าน Belt and Road Initiative (BRI) หรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ อาจมองไทยในฐานะประเทศที่กำลังเอียงไปทางจีน และใช้ภาษีเป็นเครื่องเตือนและกดดันไทย

1.3 การใช้ภาษีเป็นการ “สงครามตัวแทน” (Proxy war) ทางเศรษฐกิจ การเก็บภาษี 37% อาจมองได้ว่าเป็นการสกัดกั้น supply chain ของจีนที่ไหลผ่านไทย (เช่น โรงงานผลิตสินค้าจีนตั้งอยู่ในไทยแล้วส่งออกไปสหรัฐฯ) หรือกดดันให้ไทยต้องเลือกข้างในความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ

2. วิเคราะห์ในเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics)

2.1 ภาษีกลายเป็น “อาวุธทางเศรษฐกิจ” ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีเพื่อสร้าง “อำนาจต่อรอง” แบบที่เคยใช้กับจีนในการเจรจา FTA หรือการกีดกันสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่คู่แข่งมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative advantage)

2.2 ไทยเสียเปรียบในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ สินค้าไทยจำนวนมาก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารแปรรูป มีห่วงโซ่การผลิตที่เชื่อมโยงกับจีนหรือกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งอาจเข้าข่ายสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่ามี “การอุดหนุนโดยทางอ้อม” (indirect subsidy)

2.3 การขึ้นภาษี 37% ส่งผลต่อการลงทุนและความน่าเชื่อถือ การเป็นเป้าหมายของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ทำให้บรรยากาศการค้าระหว่างประเทศกับไทยตึงเครียด และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนจากต่างชาติ  ซึ่งเชื่อมโยงกับอันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ

3. ไทยควรมีจุดยืนอย่างไรในเชิงภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์

3.1 อย่าตอบโต้ด้วยความขัดแย้ง แต่ใช้การทูตเชิงกลยุทธ์ ควรใช้ “Smart Diplomacy” เช่น การเข้าเจรจาแบบทวิภาคีกับสหรัฐฯ โดยเน้นการอธิบายโครงสร้าง supply chain ของไทยว่าไม่ได้เอื้อจีนจนเกินไปและชูบทบาทไทยในฐานะพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ

3.2 สร้างพันธมิตรเศรษฐกิจใหม่ ลดการพึ่งตลาดเดียว ใช้โอกาสนี้ในการ “กระจายตลาดส่งออก” และ “เจรจา FTA ใหม่” กับประเทศอื่นในเอเชีย เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือสหภาพยุโรป เป็นต้น เพื่อรักษาสมดุลด้านเศรษฐกิจ

3.3 ขับเคลื่อนนโยบาย “ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ” เช่น พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศให้หลากหลายขึ้น ลดการพึ่งการส่งออก, ลงทุนในนวัตกรรม และส่งเสริมการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (high value-added products) ซึ่งจะลดผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าได้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'

รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!

โบว์ เตือนแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ต้องใช้เหตุผลรอบคอบทุกมิติ ไม่ใช่ตามกระแสอารมณ์

โบว์ ชี้การคิดเอาเองว่าประธานาธิบดีสหรัฐเข้าข้างกัมพูชา ประธานอาเซียนก็เข้าข้างกัมพูชา เป็นความคิดแบบมโนไปเอง

ไทยหวังพึ่งจีนได้หรือไม่ ในกรณีถูกสหรัฐฯกดดัน 'เอ็ดดี้' มีคำตอบ

ไทยสามารถหวังพึ่งจีนในมิติของการสนับสนุนทางการทูตและเศรษฐกิจเพื่อคานอำนาจได้ แต่ไม่สามารถคาดหวังความช่วยเหลือทางทหารโดยตรงในปัญหาชายแดนกับกัมพูชา