ปากของทักษิณ: เครื่องมือทำลายความยุติธรรม และบันทึกความยโสที่กลัวคุก

เสียงของคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี อาจเคยมีน้ำหนักในวันที่ยังมีอำนาจ แต่เมื่ออำนาจนั้นหลุดลอยไป เสียงเดียวกันกลับสะท้อนเพียง “ปาก” ที่ไม่รู้จักหยุด และ ความโอหังที่ไม่รู้จักประมาณตน

ทักษิณ ชินวัตร กลับมาสู่เวทีสื่ออย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่ปรากฏตัว “ปาก” มักล้ำหน้ากระบวนการยุติธรรม พูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนยังคิดว่าตัวเอง ใหญ่เกินกติกา

กรณีล่าสุดคือการแสดงความไม่พอใจต่อ มติแพทยสภา ที่ชี้ว่ามีความผิดจริยธรรมจากการรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งแทนที่จะอธิบายด้วยหลักฐาน กลับเลือก ใช้ปากป้ายสีองค์กร ที่ใช้อำนาจตามหน้าที่

ถึงกับกล่าวหาแพทยสภาว่า “ไม่มีจริยธรรม” โดยอ้างถึงไลน์หลุดที่มีสมาชิกส่งสติกเกอร์ YES” ทั้งที่ยังไม่ใช่การลงมติ แต่กลับเร่งตีตราว่าเป็น “การขาดจริยธรรม”

คำถามคือ ต้องการให้สังคมเชื่อจริง ๆ หรือว่าแค่สติกเกอร์ YES คือการล้มกระบวนการทั้งหมด?

สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่แค่การไม่ยอมรับการตรวจสอบ แต่คือการใช้ปากบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรแพทยสภาอย่างจงใจ

เมื่อถูกซักถึงเรื่องนี้ กลับตอบด้วย อารมณ์ขันปลอม ๆ ว่า “ไม่ได้คิดอะไรมาก” พร้อมโยนเป็ดโฟร์ซีซั่นที่ลูกสาวซื้อให้ขึ้นโต๊ะ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจอย่างแนบเนียน

ในขณะที่ทั้งประเทศกำลังเฝ้ารอคำตอบว่า จะกลับเข้าคุกหรือไม่ ทักษิณกลับใช้ปากพูดว่า “ไม่คิดเยอะ” และบอกให้สื่อ “อย่าชวนตนคิดเยอะสิ”

นี่คือ ท่าทีของคนที่เคยเป็นผู้นำประเทศ แต่วันนี้กำลังถูกกฎหมายไล่ทัน

แทนที่จะชี้แจงอย่างสงบ กลับ เลือกใช้ปากโจมตีสถาบันวิชาชีพ หวังกลบเสียงศาลที่อาจกำลังจะดังขึ้น

แม้ในคำพูดจะมีนัยว่า “ไม่มีอะไรต้องสรุปล่วงหน้า” และ “บ้านเรามีกฎหมาย มีพยานหลักฐาน” แต่ทุกท่าทีกลับบ่งชี้ว่า เจ้าตัวอาจรู้ผลล่วงหน้าอยู่แล้ว และ พยายามลดทอนความชอบธรรมของกระบวนการ

การพูดว่า “อย่าไปสืบเอง อย่าทำนายล่วงหน้า” เหมือนจะเตือน แต่ในความจริงคือ คำสั่งไม่ให้ตั้งคำถาม

ขณะที่ปากของทักษิณพ่นไฟใส่แพทยสภา แต่ลูกสาวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับเลือกให้ความชอบธรรมแก่กระบวนการตรวจสอบเดียวกัน

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 25 มีนาคม 2568 แพทองธารกล่าวอย่างชัดว่า“ขณะนี้เราก็มีการยื่นเรื่องตรวจสอบต่อแพทยสภาแล้ว…หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะยอมรับ”

คำพูดนี้กลายเป็น หลักฐานความย้อนแย้งในตัวของตระกูลชินวัตร เพราะในขณะที่บุตรสาวขอให้ทุกฝ่ายเคารพผลสอบของแพทยสภา ผู้เป็นบิดากลับเลือกใช้ “ปาก” ทำลายสถาบันเดียวกันว่า “ไม่มีจริยธรรม”

ไม่ใช่เพียงการสวนทางในท่าที แต่สะท้อน ความแยกไม่ขาดระหว่างครอบครัวกับรัฐ คำพูดของนายกฯ อาจตั้งอยู่บนความพยายามแสดงความรับผิดชอบ แต่คำพูดของพ่อ กลับทำลายพื้นที่ตรงนั้นลงอย่างไม่ไยดี

การย้อนกลับไปใช้วาทกรรมเรื่อง “สัญญาณจากผู้มีอำนาจ” แล้วรีบบอกว่า“ไม่ต้องมีสัญญาณ ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน” คือการพูดที่ ย้อนแย้งในตัวเอง

เพราะถ้าทุกอย่างอยู่ที่พยานหลักฐานจริงทำไมถึงต้องโจมตีแพทยสภาตั้งแต่ต้น?

ท่าทีเหล่านี้สะท้อนถึง วัฒนธรรมอำนาจนิยม ที่เคยชินกับการควบคุมองค์กร และเมื่อวันนี้ต้องเผชิญองค์กรที่ไม่ยอมเดินตามใจ จึงใช้คำพูดเพื่อลดทอน ความชอบธรรม

การอ้างไลน์หลุดเป็นเหตุผลในการกล่าวหาแพทยสภาว่า “ไม่มีจริยธรรม”สะท้อนว่า ไม่เชื่อในระบบตรวจสอบภายใน ขององค์กรอิสระเลยแม้แต่น้อย

และหากจะใช้ตรรกะแบบนี้ องค์กรใดที่มีสมาชิกแสดงความเห็นในวงปิดก็อาจถูกกล่าวหาว่า “ไม่มีจริยธรรม” ได้ทั้งสิ้น

นี่คือ ความอันตรายของวาทกรรมแบบทักษิณ ที่ดูเหมือนพูดเล่น แต่บ่อนทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม และกลไกรัฐ

ในขณะเดียวกัน ยังพยายามสร้างภาพว่า “ไม่รู้ ไม่กังวล ไม่สนใจ” ทั้งที่ความจริงกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายของ ความไม่มั่นใจ ทุกคำพูดและท่าทีจึงเต็มไปด้วย ความลังเลที่ปิดไม่มิด

เมื่อพูดว่า “สมศักดิ์ต้องคิดเยอะหน่อย” ก็เท่ากับยอมรับกลาย ๆ ว่าการเมืองยังข้องเกี่ยวกับผลของกระบวนการนี้

และเมื่อโยงไปถึง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะไต่สวน 13 มิถุนายนท่าทีที่แสดงออกยิ่งชัดว่า ความกลัวเริ่มไหลย้อนกลับมา

เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือการไต่สวนว่า การบังคับโทษตามหมายขัง ได้ดำเนินไปจริงหรือไม่? 180 กว่าวันในโรงพยาบาลตำรวจ ถือเป็นการรับโทษตามกฎหมายหรือเปล่า?

หากศาลวินิจฉัยว่าไม่ใช่ สิ่งที่ตามมาอาจคือ การกลับเข้าคุกของทักษิณ ชินวัตร

และเมื่อถึงเวลานั้น คำถามสุดท้ายไม่ใช่ว่าจะ “พูดอะไร” อีก แต่คือ…จะยัง “ปากกล้า ขาสั่น” อยู่ในคุก หรือจะ หายตัวออกนอกประเทศเป็นครั้งที่สอง?

คำถามนี้ไม่ได้มีแค่ในหัวของฝ่ายตรงข้ามแต่มันอยู่ในใจของ คนกลาง ๆ ที่เริ่มหมดศรัทธาในอภิมหาอภิสิทธิ์ชน เพราะกรณีนี้ ไม่ได้พูดถึงแค่ตัวบุคคลแต่มันสะท้อนถึง ความบิดเบี้ยวของโครงสร้างยุติธรรมทั้งระบบ

คนที่เคยใช้อำนาจรัฐอย่างถึงที่สุดวันนี้กลับมาเรียกร้องให้เคารพ “พยานหลักฐาน” และ “กระบวนการยุติธรรม” แต่ในทางปฏิบัติ กลับพยายาม ลบล้างความน่าเชื่อถือของมันเสียเอง

นี่จึงไม่ใช่การสู้เพื่อความเป็นธรรมแต่คือการใช้ “ปาก” เป็น อาวุธป้องกันความยุติธรรม จากการเข้าถึงตัวเอง

เพราะรู้ว่า ถ้าปล่อยให้ความยุติธรรมเดินสุดทาง สิ่งที่รออยู่ อาจไม่ใช่เสียงหัวเราะ หรือกล้องทีวี แต่คือ ห้องขังที่ไม่มีไมค์ ไม่มีเป็ด และไม่มีพื้นที่ให้ “ยโส” ได้อีกต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้