ในช่วงที่การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ ปะทะซ้อนลึก อีกครั้ง ข่าวลือเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี ได้สะท้อนแรงเสียดทานภายในรัฐบาลผสมอย่างมีนัยสำคัญ
กระแสที่ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะถูกโยกจากกระทรวงมหาดไทยไปนั่งกระทรวงศึกษาธิการ ควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่การจัดวางเก้าอี้ใหม่ แต่คือ การขยับอำนาจเชิงยุทธศาสตร์
เพราะกระทรวงมหาดไทยถือเป็น ศูนย์กลางของอำนาจระดับพื้นที่ ควบคุมกลไกตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงการจัดสรรงบประมาณ และเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างฐานทางการเมืองระยะยาวของพรรคใดพรรคหนึ่ง
การวางตัว ประเสริฐ จันทรรวงทอง จากพรรคเพื่อไทยให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สะท้อนชัดถึงเป้าหมายของ ทักษิณ ที่เคยประกาศไว้ว่า จะ “ทวงคืน” กระทรวงมหาดไทย—กระทรวงยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อโครงสร้างอำนาจของรัฐ กลับคืนมาอยู่ในมือของพรรคตัวเอง
แม้ทั้งหมดจะยังเป็นเพียงข่าวลือ แต่เพียงแค่การปรากฏของกระแสดังกล่าว ก็เพียงพอจะตั้งคำถามว่า เนวิน-อนุทิน และพรรคภูมิใจไทย จะยอมให้ศักดิ์ศรีของตัวเองถูกลดเกรดเช่นนี้จริงหรือไม่
เพราะกระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่แค่เก้าอี้รัฐมนตรี แต่คือกลไกสำคัญในการสร้างเครือข่ายอำนาจระดับจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเพิ่งเริ่มกลายเป็น “ฐานปฏิบัติการทางการเมือง” ของภูมิใจไทยอย่างจริงจังในยุคนี้
หากพรรคต้องสูญเสียตำแหน่งนี้โดยไม่มีท่าทีตอบโต้ ย่อมสะท้อนถึง การยอมจำนน ต่อ ทักษิณ-พรรคเพื่อไทยอย่างไม่มีเงื่อนไข
แม้ภูมิใจไทยจะไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่พรรครองที่ใครจะลดบทบาทได้โดยไม่คำนึงถึงสมดุลของอำนาจ
ในความเป็นจริง ภูมิใจไทย คือ ตัวแปรสำคัญ ที่กำหนดเสถียรภาพของรัฐบาล ไม่ใช่แค่ผู้ร่วมโต๊ะ แต่เป็นผู้ถือกุญแจในหลายจังหวัดหลัก
การถูกลดเกรดโดยไม่มีคำอธิบาย จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่นี่คือ สัญญาณของการจัดลำดับความสำคัญใหม่ ที่ฝ่ายทักษิณกำลังดำเนินอยู่
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ ภูมิใจไทยจะยอมรับได้หรือไม่ แต่คือ พรรคจะเลือก “อยู่รอดแบบเงียบงัน” หรือ “เดินหมากเพื่อยกระดับบทบาททางการเมืองของตัวเอง”
แม้พรรคจะมีฐานเสียงหลากหลายภูมิภาค และครองกระทรวงหลักในรัฐบาล แต่ก็ยังไม่สามารถยกระดับเป็น พรรคแกนนำระดับชาติ ได้อย่างแท้จริง
ภาพจำของพรรคเฉพาะพื้นที่ที่เติบโตแบบจำกัดวง ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางการขยายตัวสู่ชนชั้นกลางเมืองและกลุ่มคนรุ่นใหม่
แต่ในขณะเดียวกัน สนามอุดมการณ์ขนาดใหญ่กำลังเปิดออกตรงหน้า เมื่อพรรคปีก อนุรักษ์นิยม กำลังอ่อนแรงลงพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
พลังประชารัฐ เสื่อมอิทธิพลลงเรื่อย ๆ หลังหมดศูนย์กลางอำนาจจาก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในขณะที่ รวมไทยสร้างชาติ ยังไร้ทั้งรูป ร่าง และทิศทาง ไม่อาจเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษนิยมได้จริง ซ้ำยังเริ่มปรากฏรอยร้าวภายในพรรคอย่างเด่นชัด
ประชาธิปัตย์ ยิ่งวิกฤต หนักถึงขั้นขาดภาพผู้นำระดับชาติ ฐานที่มั่นอย่างกรุงเทพฯ และภาคใต้ถูกเจาะทะลุ ไม่สามารถเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้อีกต่อไป
ในภาวะที่เวทีอนุรักษ์นิยมยังว่างเปล่า ไม่มีพรรคใดสามารถเป็นตัวแทนฝ่ายที่ ต่อต้านระบอบทักษิณ ได้อย่างชัดเจน คำถามจึงย้อนกลับมาที่ภูมิใจไทย—พรรคพร้อมหรือยังจะขยับจากพรรคขนาดกลาง ไปสู่แกนกลางของอนุรักษ์นิยมใหม่
นี่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญ หากพรรคกล้าประกาศจุดยืนว่า ไม่อยู่ใต้ร่มเงาระบอบทักษิณ
ในอดีต ภูมิใจไทยอาจใช้ยุทธศาสตร์ “ไต่เชือก” เพื่อรักษาสมดุลกับทุกฝ่ายแต่ขณะนี้ ไม่มีเชือกให้ไต่แล้ว
หากยังนิ่งเฉย และปล่อยให้ ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย แสดงอำนาจเหนือกว่า เช่น การยึดกระทรวงมหาดไทย ย่อมกระทบต่อสถานะของพรรคทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้พรรคจะยังมีเครื่องจักรเลือกตั้งที่แข็งแรง และฐานทุนสนับสนุนมหาศาลแต่หากไม่สามารถส่งสารให้สังคมเชื่อมั่นได้ว่า ภูมิใจไทยคือพรรคที่มีจุดยืนจริงจัง เป้าหมายระยะยาว และหลักคิดเป็นระบบ ความน่าเชื่อถือและพื้นที่ทางการเมืองของพรรคจะถูกบั่นทอนลงในทันที
พร้อมกันนั้น โอกาสในการขยายฐานและยกระดับพรรคสู่ระดับชาติ ก็จะเลือนหายไปอย่างน่าเสียดาย
ในขณะที่พรรคเสรีนิยมยังครองพื้นที่อย่างมั่นคง “ภูมิใจไทย” อาจเป็นเพียงพรรคเดียวที่ยังสามารถยืนหยัดในฐานะ “พรรคขวาแบบใหม่” ที่ไม่อยู่ใต้ร่มเงาของระบอบทักษิณ
เพราะต้องยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ทั้งพรรคฝ่ายซ้ายเสรีนิยม และก็ไม่ใช่ฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมในความหมายทางอุดมการณ์ แต่สะท้อนลักษณะของ “พรรคทุน-ตระกูล” ที่ผูกขาดการเมืองด้วยเครือข่ายเฉพาะกลุ่มมากกว่าความเชื่อทางอุดมการณ์ใดๆ
หากภูมิใจไทยยังยินยอมดำรงสถานะ เป็นเพียงพรรคร่วมที่ค่อยๆ ถูกลดบทบาทลง ย่อมสูญเสียทั้งพื้นที่ทางอำนาจและความไว้วางใจจากประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาทางเลือกใหม่ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
แต่ในทางกลับกัน หากกล้าถอนตัวในจังหวะที่เหมาะสม ก็ไม่เพียงเป็นการปฏิเสธบทบาทเบี้ยล่างทางการเมือง แต่คือการเปิดหน้าสู่ สนามอุดมการณ์ที่กำลังว่างเปล่า อย่างแท้จริง
ไม่ใช่เพื่อ “ถอนตัวจากอำนาจ” แต่เพื่อ “วางรากฐานของอำนาจใหม่” ในฐานะพรรคที่มีทั้งเครือข่ายภาคสนาม ฐานทุน และโอกาสที่จะกลายเป็นศูนย์กลางของฝ่ายขวาแบบใหม่ในยุคที่ พรรคอนุรักษ์นิยมดั้งเดิมพากันถดถอย
หากภูมิใจไทยกล้าประกาศว่า “เราไม่ใช่เบี้ยในเกมของใคร” และพร้อมเป็นตัวเลือกแท้จริงสำหรับคนที่ยังเชื่อในค่านิยมไทย นี่จะไม่ใช่แค่จุดเปลี่ยนของพรรค แต่คือจุดเปลี่ยนของการเมืองไทยทั้งระบบ
ประเด็นจึงไม่ใช่เพียงว่า “จะอยู่หรือจะไป” แต่คือการตัดสินใจว่า จะยืนอย่างสง่างาม หรือคุกเข่าอย่างถาวร?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทุกพรรคจัดทัพลุยเลือกตั้ง
ทุกพรรคพร้อมลุยเลือกตั้ง! "อนุทิน” ยันแคนดิเดตนายกฯ ภท.ไม่มีเซอร์ไพรส์เพิ่ม
“พิพัฒน์” เผย ภูมิใจไทยภาคใต้ 59 เขต คนแห่สมัครครบแล้ว ชู “พูดแล้วทำบวก” ให้ประชาชนร่วมเสนอนโยบายที่ในแต่ละพื้นที่ต้องการ คนเด่นทยอยเข้าพรรคสมัคร สส. ต่อเนื่อง "ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ - พีรพร สุวรรณฉวี - กาญจนาพร จิระพันธุ์วาณิช"
18 ธันวาคม 2568 ที่ทําการพรรคภูมิใจไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
น้องสาว 'ยศชนัน' วอนอย่านำอดีตแต่งงานเขยเขมร มาโจมตีการเมือง
"ชญาภา" น้องสาวยศชนัน" วอนหยุดนำความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่งงานเขยเขมร ไปดิสเครดิตโจมตีการเมือง
'จุลพันธ์' ซัดแรง 'ธนาธร' อย่าชี้นิ้วโทษคนอื่นปมแก้ รธน. แค่นี้มองไม่ออกก็โง่ซ้ำซ้อน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไปไม่ถึงวาระ3 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สส. พรรคเพื่อไทยม
'จุลพันธ์' โวกระแสเพื่อไทยดีมาก หลังเปิดตัว 'ยศชนัน' สร้างมิติใหม่ลดความขัดแย้ง
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมลงพื้นที่หาเสียง ว่า ขณะนี้มีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผู้สมัครครบ 400 เขตแน่นอน
'จุลพันธ์' อ้าแขนรับลูกพรรคชาติพัฒนา ตัดสินใจร่วมเพื่อไทยหรือไม่
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคชาติพัฒนามีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในครั้งนี้แต่ได้ให้อิรสะแก่ สส.ของพรรคในการย้ายไปอยู่พรรคอื่นได้

