หลังเสียงเขมร: ไทยในกับดักความล่าช้าแห่งสงครามข่าวสาร

ในสงครามเขตแดนยุคใหม่ อาวุธสำคัญ ไม่ได้อยู่แค่ปืนหรือแผนที่ แต่คือ ข้อมูลที่เผยแพร่ก่อนใคร ฝ่ายกัมพูชาจึงสร้าง วาทกรรมเชิงรุกผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยยังติดอยู่กับ กลไกราชการที่เชื่องช้าและไร้ความเร่งด่วน

ผลลัพธ์คือ ความเสียเปรียบในสนามข่าวสารตั้งแต่ชั่วโมงแรกของวิกฤต เมื่อผู้นำไร้บทบาทนำ ไม่มีความชัดเจนในท่าที และขาดความสามารถในการ แย่งชิงการรับรู้ของสาธารณะ

สงครามแผนที่ในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่การแย่งชิงดินแดน หากแต่เป็นการต่อสู้เพื่อชิง ความชอบธรรมในสายตาประชาชนและเวทีโลก ฝ่ายกัมพูชากระตือรือร้น ใช้สื่อสารมวลชนเปิดเกมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝ่ายไทยยังเลือกใช้รูปแบบเดิม ๆ ที่ ล่าช้าและไม่ตอบสนองทันเวลา

เวลา 20:57 น. คืนวันที่ 15 มิถุนายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเป็นครั้งแรกในรูปแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อชี้แจงถ้อยแถลงของกัมพูชาเกี่ยวกับการใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นกรอบเจรจาเขตแดน แม้จะยืนยันว่า “ไม่มีการหารือเรื่องแผนที่นี้ในประชุม JBC ครั้งที่ 6”

อย่างไรก็ตาม ข่าวจากกัมพูชาได้ ฝังลึกในความรับรู้ของสาธารณชนไทยไปแล้วอย่างรวดเร็ว นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับว่า ไทยเสียเปรียบในสนามข่าวสาร แม้ไม่พ่ายแพ้ในโต๊ะเจรจา

เพราะในโลกยุคนี้ ใครพูดก่อนคือผู้ได้เปรียบ ไม่ใช่ใครพูดถูก ความน่ากังวลจึงไม่ได้อยู่ที่แค่การตีความแผนที่ แต่เป็น ความไม่พร้อมของรัฐบาลไทยในการตอบโต้ข่าวสารแบบเวลาจริง

ฝ่ายกัมพูชาไม่รอให้เอกสารสมบูรณ์หรือจบวันราชการ แต่เผยแพร่ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แม้เนื้อหาจะบิดเบือนหรือต้องรอข้อยืนยัน ก็สามารถ ครอบงำความเข้าใจของประชาชนก่อนใคร

ฝ่ายไทยเดินช้า พูดช้า และตอบช้า ไม่ใช่เพราะไม่มีข้อมูล แต่เพราะติดยึดระบบราชการที่ต้องรอความเรียบร้อยครบถ้วนก่อนออกแถลง นี่คือ ปัญหาโครงสร้างการสื่อสารของรัฐไทยที่ไม่ตอบโจทย์สงครามข่าวสารยุคใหม่

คำถามจึงไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ หากแต่เป็น ผู้นำรัฐบาลที่ควรกำหนดจังหวะ กำหนดท่าที และสื่อสารอย่างเด็ดขาดในวิกฤตทันที

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความล่าช้าของผู้มีอำนาจ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะผู้นำรัฐบาลไทย ไม่ปรากฏบทบาทนำ ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน และขาดภาษาการทูตที่สามารถ นำกระแสหรือเบรกเกมของกัมพูชาได้

ภาวะนี้ไม่ใช่แค่ความล่าช้าเชิงเทคนิค แต่เป็น ความอ่อนแรงทางการเมือง ที่สะท้อนว่า ผู้นำไทยยังไม่มีน้ำหนักพอในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งที่เสียงของนายกรัฐมนตรีควรมีอำนาจมากกว่าข้อความจากกระทรวง

เมื่อฝ่ายตรงข้ามขึ้นเกมก่อน ฝ่ายไทยตอบโต้ช้าผ่านโพสต์เฟซบุ๊กในเวลาค่ำ ความเสียหายไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริง แต่มาจาก ความรู้สึกของประชาชนที่เห็นว่ารัฐปกป้องอธิปไตยได้ไม่ทันเวลา

อธิปไตยในศตวรรษนี้ม่ใช่แค่การถือเอกสาร แต่คือ การถือครองความเข้าใจของประชาชน การปกป้องผลประโยชน์ชาติ ต้องมาพร้อมกับ การควบคุมข้อมูลและการสื่อสารระดับมหภาค

หากเรายังปล่อยให้การแถลงข่าวจากฝ่ายตรงข้ามกลายเป็น ฐานข้อมูลหลักของสื่อไทย แล้วค่อยแก้ข่าวภายหลัง เราก็ยอมรับโดยปริยายว่า ยกการตั้งต้นของวาทกรรมให้ฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว

นี่คือความเสี่ยงที่มากกว่าการเสียพื้นที่ เพราะหมายถึง การเสียเปรียบทางการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยการปล่อยให้คำอธิบายของฝ่ายตรงข้ามเป็นที่รับรู้ก่อนในสังคมไทย

เมื่อแพลตฟอร์มการสื่อสารเปลี่ยนไป แต่รัฐบาลไทยยังยึดติดตรรกะราชการเดิม จึงไม่แปลกที่ฝ่ายไทยจะเสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่ทันออกมาตอบโต้หรือชี้แจงอย่างจริงจัง

สถานการณ์แย่ลงเมื่อ ผู้นำไม่เข้าใจธรรมชาติของสงครามข่าวสาร รัฐบาลภายใต้การนำของแพทองธารแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถชิงพื้นที่ข่าวได้แม้จังหวะเดียว

จังหวะคือทุกสิ่งในสื่อสาร แต่รัฐบาลไทยปล่อยให้กัมพูชากำหนดจังหวะ ตั้งแต่ปล่อยข่าวก่อน พูดก่อน และให้ไทยเป็นฝ่ายแก้ข่าวตลอด

นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวทางทูตธรรมดา แต่คือ ความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ และสะท้อนว่า ผู้นำไม่มีแผนสำรองสำหรับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

การปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามกำหนดวาทกรรมแรก ย่อมหมายถึง เสียเปรียบตั้งแต่ต้นเพราะในโลกที่ใครพูดก่อนคือผู้ตั้งโจทย์ ไทยกลับเลือกเป็น ผู้รอแก้ต่าง มากกว่าเป็นผู้นำเกม

รัฐบาลที่ไม่สามารถยืนยันจุดยืนของตัวเองได้ในชั่วโมงแรกหลังเกิดข่าว ย่อมไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นในอธิปไตยแก่ประชาชน ไม่ต้องพูดถึงการสื่อสารกับประชาคมโลก

อธิปไตยในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่ดินแดน แต่คือ การยึดครองพื้นที่การรับรู้ เมื่อประชาชนไม่เห็นท่าทีและจุดยืนจากผู้นำ ความมั่นใจจึงสั่นคลอน แม้ยังถือแผนที่อยู่ในมือ

สิ่งที่เห็นชัดจากรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร คือ การขาดทั้งสัญชาตญาณความเป็นผู้นำ และความสามารถในการสื่อสารในจังหวะวิกฤต

ผู้นำขาดภาษาการทูตที่ชัดเจนและไม่แสดงให้เห็นว่าเข้าใจเกม นี่ไม่ใช่ความผิดระบบราชการเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนคำถามต่อ โครงสร้างอำนาจและภาวะผู้นำของรัฐบาล

ที่ดูเหมือนวางใจให้ทุกอย่างดำเนินตาม ความเป็นทางการ ทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามเล่นเกมความเป็นจริง ผ่านโซเชียลมีเดีย

ถ้ายังคิดว่าการสื่อสารคืองานระดับล่าง ที่ไม่ต้องรับมือด่วน เราก็จะเป็นชาติที่ปล่อยให้ เฟซบุ๊กของกัมพูชามีอำนาจมากกว่าทำเนียบรัฐบาลไทย

สงครามแผนที่ครั้งนี้ยังไม่จบ อาจกลายเป็นข้อพิพาทระดับศาลโลก แต่สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่แค่แนวเขตแดนที่ตีความตามแผนที่ใด

แต่คือเราจะปล่อยให้ ศักดิ์ศรีชาติถูกกำหนดผ่านเพจของประเทศเพื่อนบ้าน อีกนานแค่ไหน

ถ้ารัฐบาลไทยยัง คิดแบบราชการในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยวินาที อธิปไตยที่มีอยู่ก็เป็นได้แค่บรรทัดในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่หลักประกันบนโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ

“หลังเสียงเขมร” ไม่ใช่แค่แถลงการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน แต่มันคือภาพสะท้อนว่า เรายังติดอยู่กับ จังหวะของระบบราชการ ขณะที่คู่แข่งใช้ จังหวะของสื่อใหม่

นี่คือบทเรียนสำคัญว่า ความจริงไม่รอใคร และอธิปไตยก็เช่นกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

ทรงพลัง! สื่อกัมพูชาทำโพลล์ ‘คนเขมร’ สนับสนุนคว่ำบาตรสินค้าไทยอย่างล้มหลาม

เปืดผลสำรวจของ Khmer Times สื่อภาษาอังกฤษ ภายใต้การกับของรัฐบาลกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างล้นหลามต่อการคว่ำบาตรสินค้าไทย หลังจากเหตุการณ์รุ

ชายจีนเหยียบกับระเบิดขณะลักลอบเข้าไทย กกล.บูรพารีบส่งทีมเก็บกู้ช่วยชีวิต

เช้ามืด ตชด. ได้ยินเสียงระเบิดจากป่าละเมาะใกล้ถนนศรีเพ็ญ ตรวจด้วยโดรนพบชายจีน คาดลักลอบเข้าประเทศ บาดเจ็บจากทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน กกล.บูรพาส่งชุดเก็บกู้เข้าช่วยทันที ก่อนประสาน ตม. ดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป