กมธ.ทหาร สว. ลุยยื่นซักฟอกรัฐบาลตาม ม.153 แก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาล้มเหลว

'กมธ.ทหาร สว.' ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ขอเปิดอภิปรายทั่วไป ม.153 ถกกรณีพิพาทชายแดน 'ไทย-กัมพูชา' เหตุ 'ผู้นำรัฐบาล' ด้อยความสามารถ ทั้งยังมี 'คนนอกรัฐบาล' เหยียบย่ำซ้ำเติม ด้วยการบอกว่า ให้เปลี่ยนการยิงกันเป็นการเตะตะกร้อกัน เพราะพื้นที่ตรงนั้นมีแต่ป่า ทำเป็น No Man's Land ดีกว่า

16 มิถุนายน 2568 - ที่รัฐสภา พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา อ่านแถลงกรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับที่ 2 เรื่องขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา ระบุว่า จากเหตุการณ์กระทบกระทั่งบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาในฐานะผู้กระทำที่ไร้ความจริงใจ และบ่อนทำลายประเทศไทย ด้วยสารพัดวิธี เพื่อหวังครอบครองแผ่นดินไทยเป็นของตนเองเรื่อยมา ซึ่งคณะกรรมาธิการทหารฯ ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ประณามการกระทำที่ขาดความจริงใจ ไร้ความเป็นมิตรเยี่ยงประเทศเพื่อนบ้านพึงมีต่อกันของฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ไปแล้ว นั้น

วันที่ 9-10 มิถุนายน 2568 คณะกรรมาธิการทหารฯ ได้เดินทางเข้าพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้เห็นภูมิประเทศจริงและรับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ไช้โอกาสนี้ พบปะเยี่ยมเยียน เพื่อแสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่พิพาท รวมทั้ง กำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ตามแนวชายแดนด้วยความเข้มแข็ง กลับได้เห็นและรับทราบจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ว่า พวกเขาพร้อมรับสถานการณ์การสู้รบแล้ว

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการทหารฯ ขอสนับสนุนและขอแสดงความเชื่อมั่นต่อ กองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุงสุรนารี ว่าได้ดำเนินการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนไทย ในทิศทางที่เหมาะสมแล้ว คณะกรรมาธิการการทหารฯ ได้เห็นสภาพปัญหาอันสลับซับซับซ้อนและความตึงเครียดที่สะสมมาเป็นระยะเวลายาวนาน การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จึงต้องการรายละเอียดและการปฏิบัติอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบทุกด้าน

คณะกรรมาธิการการทหารฯ จึงได้จัดการถกแถลงทางวิชาการในประเด็น "เราจะรักรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร" เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 พร้อมกับรอผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) ครั้งที่ 6 ณ กรุงพนมเปญ จัดประชุมในวันที่ 14-15 มิถุนายน ที่ผ่านมา

การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย เป็นการเน้นย้ำว่า ปราสาททั้งหลายที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ล้วนอยู่ในความครอบครองของไทยมาหลายร้อยปี จนกล่าวได้ว่าไทยเป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ แต่การที่เราแพ้คดีในศาลยุติธธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ถึงสองครั้ง มาจากความไม่เที่ยงธรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราจะไม่ยอมเสียดินแดนในศาลโลก เป็นครั้งที่ 3 อีก

นอกจากความไม่ไว้วางใจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกแล้ว ในแถงการณ์ฉบับที่ 1 คณะกรรมาธิการการทหารฯ ได้เน้นย้ำการเรียกร้องให้รัฐบาลต้องดำเนินการทุกหนทาง เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก เพราะเวลานี้ หัวใจของประชาชนคนไทย ยอมรับแล้วว่า ผู้นำรัฐบาลด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำ แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลไทยพูดจาอะไรได้สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว คนไทยต้องทนฟังคำพูดอันแข็งกร้าว ระคายเคืองหัวใจ ไม่เว้นแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็รอฟังเสียงตอบโต้ จากผู้นำรัฐบาลตลอดเวลา แต่ก็ผิดหวังเสมอ

ขณะที่กัมพูชามีผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนชาตินิยม แต่ผู้นำรัฐบาล กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คงคล้ายเรื่องเล่ากันขำๆ ที่ว่า รัฐบาลกัมพูชาปลุกใจคนเขมรให้รักชาติ แต่ที่เมืองไทย ประชาชนคนไทย กลับต้องออกมาบอกให้รัฐบาลรักชาติ และยังมีคนนอกรัฐบาลเหยียบย่ำซ้ำเติมด้วยการบอกว่า ให้เปลี่ยนการยิงกันเป็นการเตะตะกร้อกัน เพราะพื้นที่ตรงนั้นมีแต่ป่า ทำเป็น No Man's Land ดีกว่า ซึ่งแน่นอน ผู้นำรัฐบาลคงไม่รู้ว่าแผ่นดินไทยตรงนั้น บรรพบุรุษของเรา เอาเลือดทาแผ่นดินไว้ และผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก็ยังขานรับคำว่าNo Man's Land อีกด้วย

หลายเรื่องหลายราวที่ รัฐบาล ควรทำหรือต้องทำ แต่ไม่ทำ บางครั้งผู้นำรัฐบาลก็พูดเหมือนเข้าข้างฝ่ายกัมพูชา จนมีข้อสงสัยเคลือบแคลงจากพี่น้องประชาชนว่า เรามีผู้นำรัฐบาล เป็นคนเขมร หรืออย่างไร แล้วจะแก้ปัญหาหรือทำอย่างไรกันต่อไป

การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย ในประเด็น "เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร" โดยคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้สรุปเรื่องนี้ไว้ว่า ผู้นำรัฐบาล ต้องแสดงท่าทีของการเป็นผู้นำประเทศ ให้แข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่ การใช้กลไกทวิภาคีเพื่อแก้ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องที่เหมาะสม และเมื่อจำเป็น ควรยกระดับขึ้นใช้กลไก ASEAN จัดการกับฝ่ายกัมพูชา ที่ผ่านมา กัมพูชาแสดงท่าทีแข็งกร้าว เคยมีกรณีพิพาทเรื่องดินแดนทั้งกับไทยและลาว รวมทั้งการเลือกเข้าข้างประเทศมหาอำนาจอย่างชัดเจน การใช้กลไก ASEAN จะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งในอนาคต เนื่องจาก ASEAN ยึดถือหลักการสำคัญ คือ สันติภาพและความเป็นกลาง และมีเป้าหมายเพื่อสร้างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเขตแห่งสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality - ZOPFAN)

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา วุฒิสภาได้ออกแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ให้ดำเนินการกราบบังคมทูล เพื่อมีพระบรมราชโองการ เรียกประชุมรัฐสภา เป็นการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้ฝ่ายบริหารได้แถลงข้อเท็จจริงทั้งหมด เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งสาเหตุของปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งต้องกระทำเป็นการด่วน แต่จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบจากทางรัฐบาล หรือสัญญาณของความร่วมมือกับวุฒิสภา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด

วุฒิสภา มีหน้าที่หลักประการหนึ่ง นอกเหนือจากการกลั่นกรองกฎหมาย คือ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภามีสิทธิเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 153

ดังนั้น คณะกรรมาธิการการทหารฯ จำต้องอาศัยอำนาจตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 153 ที่กำหนดให้ "สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ "

ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภา ได้เสนอแนวคิดและแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจโดยเร็วต่อไป

การที่ผู้นำรัฐบาลเพิกเลยไม่ได้ตอบฝ่ายกัมพูชา และไม่กำหนดมาตรการการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ทำให้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่ผ่านมาล้มเหลว ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชายังฉวยโอกาส ออกแถลงการณ์บิดเบือนข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎเป็นข่าว คือ ประเด็นที่กัมพูชาจะนำเรื่องพื้นที่พิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก และการใช้แผนที่ 1 : 200,000 เพื่อกำหนดเขตแดน

เรื่องอื่น ๆ ที่ฝ่ายกัมพูชาฉกฉวยโอกาส เช่น การเรียกร้องนานาชาติกดดันไทยยอมรับอำนาจของศาลโลก การแถลงอย่างแข็งกร้าวไม่ยอมรับการประชุมทวิภาคี การกีดกันสินค้าและภาพยนต์ไทย การเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยปลุกระดมว่าอาจถูกฝ่ายไทยกลั่นแกล้งทำร้าย ตลอดจนความอ่อนด้อยในเกมการเมืองระหว่างประเทศของผู้นำรัฐบาลไทย ความล่าช้าของนโยบายที่ทำให้การปฏิบัติของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ทันเวลา ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในผู้นำรัฐบาล

จากเหตุการณ์ต่างๆ และสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การที่ผู้นำรัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรีขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หากปล่อยปละละเลยให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ตามอำเภอใจ อาจทำให้อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยถูกรุกล้ำและยึดครอง ดังนั้น คณะกรรมาธิการการทหารฯ จึงมีความเห็นว่า วุฒิสภา สมควรเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงกรณีปัญหาแนวชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการทหารฯ จะมีหนังสือกราบเรียบประธานวุฒิสภาต่อไป ในนามของคณะกรรมาธิการการทหารฯ ขอเรียนว่า คณะกรรมาธิการการทหารฯ ตระหนักในบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ ต่ออธิปไตยและ
ความมั่นคงของชาติ โดยจะทำหน้าที่ของคณะกรรมาธิการการทหารฯ เพื่อประเทศชาติและประชาชนคนไทย ให้ดีที่สุด

"แผ่นดินนี้ พ่อกูอยู่ ปู่กูตาย กูสุดอาย หากเสียที ไพรีครอง" ด้วยความเคารพ และห่วงใย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปักหมุดอ้างอิงชั่วคราวชายแดนไทย–กัม พูชา 8.3 กม.แล้ว!

ทร.เผยปักหมุดอ้างอิงชั่วคราว ชายแดนไทย–กัมพูชา (บริเวณหลักเขตที่ 52–59) อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระยะทาง 8.3 กิโลเมตร รวม 166 หมุด

เปิดรายงาน AOT ชี้ชัดเขมรซุกทุ่นระเบิดใหม่ ทำทหารไทยขาขาดรายที่ 7

กองทัพไทยเปิดรายงาน ผลตรวจสอบของ AOT ยันทุ่นระเบิด PMN-2 ห้วยตามาเรีย- ภูมะเขือ ทำทหารขาขาดรายที่ 7 ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้าง

ความสมดุลของการรักษาอธิปไตยและการใช้กำลัง : สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา

รศ.ดร.บุญส่ง ชเลธร สถาบันรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยแพร่บทความเรื่อง ความสมดุลของการรักษาอธิปไตยและการใช้กำลัง : สำหรับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา มีเนื้อหาดังนี้

'ทภ.2' ซัดเขมรปั่นฮีโร่ ใช้คนป่วยจิตรบ ขัดหลักสากลไร้มนุษยธรรม

'ทภ.2' ตอกหน้าสื่อเขมรปั่น 'ฮีโร่' คืนสนามรบ ที่แท้เชลยศึกไทยปล่อยตัว เหตุพิษสุราเรื้อรัง-เสียสติ ซัดกัมพูชานำคนป่วยจิตกลับมารบ ขัดหลักสากล-ไร้มนุษยธรรม