อำนาจที่ต้องประคอง: เกมรุกของ 'ทักษิณ-เพื่อไทย' กับแนวต้านจาก 'ภูมิใจไทย' ในสมรภูมิมหาดไทย

ในระบบการเมืองไทย กระทรวงมหาดไทย คือกลไกอำนาจที่ลึกและแน่นหนาที่สุดของฝ่ายบริหาร เพราะไม่ได้เป็นแค่ตำแหน่งรัฐมนตรี แต่มันควบคุม เครือข่ายราชการทั่วประเทศ ตั้งแต่ผู้ว่าฯ ถึงกำนัน มันคือลมหายใจของการเลือกตั้ง การใช้งบประมาณ และการดำรงอยู่ของรัฐบาล

เมื่อ พรรคเพื่อไทย ไม่ได้ถือครองกระทรวงนี้ แม้จะเป็นแกนกลางของรัฐบาล ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่า ควบคุมอำนาจรัฐอย่างแท้จริง เพราะ อำนาจที่ไม่ถึงระดับพื้นที่ คือ อำนาจที่ไม่มั่นคง

แต่คำถามคือ เพื่อไทยจะกล้ายึดคืนมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ ในการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางเงื่อนไขเสถียรภาพที่บางเฉียบ และพรรคร่วมรัฐบาลที่พร้อมแตกกระจายได้ทุกเมื่อ

ยิ่งไปกว่านั้น อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศชัดว่า หากพรรคภูมิใจไทยถูกยึดกระทรวงนี้ จะ ถอนตัวจากรัฐบาลทันที และพร้อมเป็นฝ่ายค้านโดยไม่ลังเล

คำประกาศนี้ไม่ใช่แค่คำขู่ทางการเมือง หากแต่เป็น การตีกรอบการเจรจาอย่างแข็งแรง ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจเดินหน้าโดยไม่คำนึงถึง แรงสั่นสะเทือนของสมดุลอำนาจในรัฐบาล

รัฐบาลปัจจุบันมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) รวม 322 คน โดยประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 142 คน, ภูมิใจไทย 69 คน, รวมไทยสร้างชาติ 36 คน, ประชาธิปัตย์ 25 คน, ชาติไทยพัฒนา 10 คน, ประชาชาติ 9 คน, ชาติพัฒนา 3 คน, ไทรวมพลัง 2 คน, ท้องที่ไทย 1 คน, พลังสังคมใหม่ 1 คน และ กล้าธรรม 24 คน ซึ่งทั้งหมดร่วมกันสนับสนุนรัฐบาล

เสียงที่ดู มั่นคง ของรัฐบาลวันนี้พร้อม พังทลายทันที หากพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจ ถอนตัว เพราะเสียง สส.ของรัฐบาลที่มีอยู่ 322 คน จะลดลงเหลือเพียง 253 คน ซึ่งหมายถึงการสูญเสีย เสียงข้างมากอย่างชัดเจน และทำให้รัฐบาลกลายเป็นเสียง ปริ่มน้ำที่อ่อนแอ ไม่สามารถผลักดันวาระสำคัญ หรือรับมือกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาได้

แต่ปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ภูมิใจไทย เพราะพรรค รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เองก็เผชิญกับ ความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง หลังจากที่ สุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรค ประกาศจุดยืนต่อต้านหัวหน้าพรรคอย่างเปิดเผย พร้อมกับ สส.กลุ่มหนึ่งที่สนับสนุนตน

เบื้องหลังความขัดแย้งในพรรครวมไทยสร้างชาติ มีเสียงลือหนาหูว่า กลุ่มทุนพลังงานรายใหญ่ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ ยึดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นพื้นที่อำนาจของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หากพรรคเพื่อไทยเดินหน้าเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีจริง ย่อมกระทบต่อ สถานะและอิทธิพลของพีระพันธุ์ ในพรรคอย่างเลี่ยงไม่ได้

ในสถานการณ์เช่นนี้ พีระพันธุ์ อาจตัดสินใจ ถอนตัวจากรัฐบาล ตามคำประกาศของ วิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค ที่ย้ำชัดว่า หากไม่สามารถรักษาสัดส่วนอำนาจไว้ได้ พรรคจะ แปรสภาพเป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ท่าทีเช่นนี้จึงไม่เพียงสะท้อนแรงเสียดทานภายในพรรค แต่ยังอาจกลายเป็นจุดเริ่มของ แรงกระเพื่อมในระดับรัฐบาล

หาก สส.ของพรรครวมไทยสร้างชาติบางส่วนตัดสินใจถอนตัวจากรัฐบาลไปพร้อมกับพรรคภูมิใจไทย ก็จะเร่งให้เกิด ปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่ทำให้ เสียงสนับสนุนของรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่การกลายเป็น รัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยอัตโนมัติ

แม้ พรรคเพื่อไทย จะพยายามเดินเกมต่อรอง เพื่อดึงเสียงจากพรรคอย่าง พลังประชารัฐ รวมถึงกลุ่มเล็กบางส่วนในฝ่ายค้าน เพื่ออุดช่องว่างของเสียงที่หายไป แต่ความพยายามเช่นนี้ย่อมแลกมาด้วย ต้นทุนทางการเมืองที่สูงลิ่ว ทั้งในแง่ ความชอบธรรม และ เสถียรภาพในระยะยาว

สถานการณ์ยิ่งตึงเมื่อ ไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ประกาศชัดว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยโดยเด็ดขาด ขณะที่ พรรคประชาชน ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่แกนนำฝ่ายค้านหลักในสภา ก็แสดงจุดยืนแน่วแน่ว่า จะไม่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในทุกรูปแบบ การสมประโยชน์กับเพื่อไทยไม่อยู่ในทางเลือก

ทั้งหมดนี้ทำให้คำถามว่า “เพื่อไทยจะยึดกระทรวงมหาดไทยหรือไม่” กลายเป็นการตัดสินใจที่เดิมพันสูงกว่ากลยุทธ์ทั่วไป เพราะหมายถึงว่า พรรคจะ เดินหน้าชนกับแรงต้านจากพรรคร่วม อย่าง ภูมิใจไทย เพื่อแลกกับ อำนาจเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต่อการเตรียมเลือกตั้งครั้งหน้า หรือจะ ยอมถอยเพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาลไว้ก่อน แม้ต้องยินยอมให้กระทรวงมหาดไทยยังอยู่ในมือของฝ่ายอื่นต่อไป

เงื่อนไขอันละเอียดอ่อนนี้ สะท้อนสถานะของ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็น ศูนย์กลางทางอำนาจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งในเดือนกรกฎาคมนี้จะต้องเผชิญกับ กระบวนการทางกฎหมายสำคัญถึงสองคดี ได้แก่ การไต่สวนว่า การบังคับโทษจำคุกทักษิณเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และคดีตาม มาตรา 112 ที่ถูกจับตามองจากทุกฝ่าย

แม้กระบวนการเหล่านี้จะอยู่ภายใต้ขอบเขตของศาล แต่ในทางยุทธศาสตร์ การมี อำนาจรัฐ อยู่ในมือ ย่อมสร้างความได้เปรียบทั้งในแง่ ตำแหน่งต่อรอง การจัดการข้อมูล และการประคับประคองจังหวะการเมือง เพื่อไม่ให้คดีความกลายเป็นเงื่อนไขที่สั่นคลอนความมั่นคงของเครือข่ายอำนาจ

เพราะการเป็นรัฐบาลหมายถึงการควบคุมวาระ การจัดลำดับความสำคัญในรัฐสภา การสื่อสารเชิงนโยบาย และที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาอำนาจในระดับ โครงสร้างรัฐ ซึ่ง ทักษิณ รู้ดีกว่าผู้ใดว่า นี่คือ ทรัพยากรสุดท้ายที่ไม่ยอมเสีย

ถ้า เสถียรภาพของรัฐบาลพังทลายลง ทักษิณและเพื่อไทยจะต้องเผชิญกับการเมืองรูปแบบใหม่ที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งจากฝ่ายค้าน สื่อ กลไกอิสระ และแม้แต่กลุ่มที่เคยสนับสนุนก็อาจเปลี่ยนข้างทันที นั่นทำให้ทักษิณไม่สามารถเดินหน้า ยึดมหาดไทยอย่างตรงไปตรงมา แม้รู้ว่ากระทรวงนี้คือหัวใจของการเตรียมเลือกตั้งครั้งหน้า

ทางเลือกที่เป็นไปได้มากกว่าคือ การ ยืดเวลา–ปั้นเงื่อนไข–เจรจาหลังฉาก เพื่อรักษาความได้เปรียบโดยไม่ปะทะตรงกับภูมิใจไทยในเวลานี้

แม้จะมีการใช้เกมข่าวสาร แรงกดดันจาก สส.อีสาน หรือการหยิบยกความล้มเหลวของรัฐมนตรีคนปัจจุบันมาเป็นข้ออ้าง แต่ความจริงคือ การเปิดหน้าชนกันอย่างชัดเจนระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ยังไม่ถึงขั้นที่จะยึดคืนกระทรวงได้โดยสมบูรณ์

ในขณะเดียวกัน หากเพื่อไทยตัดสินใจนิ่งเฉย ปล่อยให้มหาดไทยอยู่ในมือภูมิใจไทยต่อไป ก็ต้องแลกกับ การสูญเสียพื้นที่ยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบต่อความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่จึงไม่ใช่แค่การตัดสินใจเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี หากแต่คือการ ชี้ขาดว่าเพื่อไทยจะยังคงเดินเกมในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ หรือจะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นรัฐบาลที่ถูกบั่นทอนจากภายใน

หากประเมินจากประวัติของ ทักษิณ ไม่ใช่คนที่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่กลับเป็นผู้ที่มักเลือกเดินเกมใหญ่แม้เงื่อนไขยังไม่เอื้อ และนั่นก็ทำให้เกิด ความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในห้วงเวลาที่พรรคร่วมไร้เสถียรภาพ คดีความอยู่ระหว่างไต่สวน และความไม่แน่นอนทางสังคมยังคุกรุ่น การดึงดันแย่งเก้าอี้มหาดไทยอาจดูเหมือนการเดินเกมกล้า แต่สุดท้ายอาจกลายเป็น การเร่งให้ทั้งกระดานพังลงพร้อมกัน

ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ส่วนตัวของทักษิณ ที่กำลังเผชิญทั้งการไต่สวนการบังคับโทษจำคุก และคดี 112 ซึ่งอาจพลิกกลับได้ตลอดเวลา ความเสี่ยงเหล่านี้ได้กลายเป็น ตัวแปรสำคัญที่บั่นทอนอำนาจต่อรองทางการเมือง ลงอย่างรุนแรง จนทักษิณไม่อาจเดินเกมใหญ่ในแบบเดิมได้อีกต่อไป

ด้วยข้อจำกัดทั้งในเรื่องเสียงในสภา ความไม่แน่นอนของพรรคร่วม และแรงกดดันจากคดีความที่ทักษิณต้องเผชิญ การ ยึดคืนกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องยาก แต่คือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้

สิ่งที่อาจเกิดขึ้นไม่ใช่การแย่งเก้าอี้คืน แต่คือความพยายาม ควบคุมสมดุลทางอำนาจไม่ให้พังทลาย ในช่วงเวลาที่รัฐบาลเริ่มเผชิญ แรงกระเพื่อมจากพรรคร่วม ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้อง ประคับประคองอำนาจรัฐในนามพรรคเพื่อไทย ให้มั่นคงพอจะพยุงสถานการณ์ ท่ามกลางคดีความรอบด้านที่ยังไม่รู้ทิศทาง และอาจเป็นแรงสะเทือนซ้อนขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

สำหรับทักษิณและเพื่อไทยในวันนี้ เกมไม่ได้อยู่ที่การรุกล้ำหรือขยายอิทธิพล แต่คือการ ประคองพลังที่มีอยู่ให้นานที่สุด โดยไม่ให้แตกสลายกลางทาง

อำนาจที่ยังอยู่ในมือ แต่ไม่ใช่อำนาจที่ใช้ได้อย่างเต็มที่ มันคือ อำนาจที่ต้องประคอง ไม่ใช่อำนาจที่สามารถสั่งการเด็ดขาด หรือเขย่าโครงสร้างอื่นได้อย่างเสรี หากแต่ต้องคอยระวังไม่ให้มันกลายเป็นภาระของความเสี่ยง ทั้งจากแนวร่วมที่พร้อมเปลี่ยนทิศ, สถานการณ์รอบข้างที่ไม่เป็นใจ, และเงาทาบของคดีความส่วนตัวที่ยังรอเวลา

และนั่นคือเหตุผลที่วันนี้ ทักษิณไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้นำเกมรุกอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็น ศูนย์กลางของอำนาจที่ต้องประคับประคองไว้ให้ได้นานที่สุด แม้จะไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มมือ และนั่นแหละคือ ความหมายของอำนาจที่ต้องประคอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย