จาก ‘ทหารมีไว้ทำไม’ สู่ ‘สนามตะกร้อ’ วาทะลวงโลกที่พ่ายแพ้ต่อเลือดและเสียงปืน

จากคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม” ถึง “สนามตะกร้อ” วาทะลวงโลกที่แพ้ต่อเสียงปืนจริง เลือดของทหารลูกชาวบ้าน และน้ำตาของคนอพยพ ตอบแทนทุกคำพูดลอยฟ้า สนามรบไม่ใช่บทสนทนาโชว์ลีลา  แต่มันคือความจริงที่เจ็บกว่าคำพูดทุกคำ

คำพูดบางคำอาจดูเบาเหมือนลม แต่ผลกระทบกลับหนักราวกับตะปูที่ตอกลงกลางใจผู้ฟัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยตั้งคำถามบนเวทีปราศรัยหาเสียงว่า “ทหารมีไว้ทำไม?”- “ประเทศที่อยู่ใกล้ๆกันมันไม่ทะเลาะแล้ว” ประโยคที่เหมือนจะชวนคิด แต่กลับสะท้อนท่าทีของคนที่ยืนอยู่บนโลกของวาทกรรม มากกว่าจะเข้าใจความจริงที่แนวชายแดน

พิธาพูดด้วยบุคลิกคล้ายพระเอกลิเก วางท่ามั่นใจ ยกคางสูง พูดคล่องราวกับตนเป็นผู้รู้ทุกอย่าง แต่ความจริงที่ไม่เคยถูกเอ่ยคือ ทหารเหล่านั้นคือกำแพงเลือดเนื้อที่ยืนอยู่แทนคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพียงหมากการเมืองที่จะถูกตั้งคำถามเอาไว้เรียกเสียงปรบมือ

ในอีกด้านหนึ่ง ทักษิณ ชินวัตร เลือกพูดถึงสถานการณ์ชายแดนว่า “แทนที่จะยิงกัน ก็เตะตะกร้อกันดีกว่า” ถ้อยคำที่เหมือนมาจากคนซึ่งมั่นใจว่าตนยังครองอำนาจชี้ขาด ทั้งที่โลกความจริงโหดร้ายเกินกว่าที่จะลดทอนให้เหลือเพียงเกมกีฬา

คำพูดเหล่านี้เมื่อย้อนกลับมามองจากวันที่เสียงปืนและ จรวด BM-21 ถล่มหมู่บ้านชายแดน มันช่างดูไร้น้ำหนักและไม่ต่างจากเศษฝุ่นที่ปลิวหายไปท่ามกลางควันไฟ

ทั้งพิธาและทักษิณต่างพูดในช่วงที่ชายแดนยังไร้ควันไฟและเสียงระเบิด พวกเขาเลือกคำพูดอย่างสบายใจ เหมือนจะสร้างภาพจำทางการเมือง มากกว่ามองลึกถึงราคาที่ต้องจ่ายหากไฟสงครามลุกลาม

พิธาใช้คำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” ในจังหวะที่มั่นใจว่ามวลชนจะพยักหน้าเห็นด้วย เน้นถ้อยคำด้วยท่าทีมั่นใจ พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังเล่นบทพระเอกที่มีแต่ความเท่ แต่ไร้เนื้อหาที่แตะถึงภารกิจจริงของกองทัพที่ต้องคอยปกป้องชายแดน

ทักษิณเองก็ไม่ต่างกัน พูดเรื่อง “สนามตะกร้อ” ด้วยรอยยิ้มที่แฝงความมั่นใจ ราวกับความขัดแย้งเป็นเพียงบทสนทนาของคนที่คุยกันแล้วจบ แต่ลืมไปว่าบางครั้งกระสุนไม่รอให้ใครมานั่งเจรจา ความจริงของสนามรบไม่ใช่เวทีประกวดคำพูด

ถ้อยคำของพิธา-ทักษิณ จึงเหมือนการหยิบประเด็นความมั่นคงมาเล่นเป็นวาทกรรม เพื่อเรียกเสียงเชียร์ แต่กลับทำร้ายศรัทธาของคนที่ยืนหยัดแนวหน้า โดยไม่แยแสต่อผลกระทบ

เมื่อเสียงระเบิดและปืนใหญ่ดังขึ้น ความจริงที่เจ็บปวดได้กลบคำพูดลอย ๆ ของทั้งสองคน บ้านเรือนพังพินาศ ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยพร้อมเด็กเล็กและคนชรา ความโกลาหลนี้คือสิ่งที่ไม่มีอยู่ในวาทกรรมบนเวทีการเมือง

ทหารไทยที่ยืนสู้แนวหน้าไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือของรัฐ แต่คือคนที่แบกหัวใจของประชาชนและครอบครัวตัวเอง เขาไม่ได้ถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” แต่เขารู้ดีว่าต้องมีไว้เพราะใครสักคนต้องหยุดไฟสงครามไม่ให้ลามถึงคนข้างหลัง

สำหรับทักษิณ คำว่า “มาเตะตะกร้อกันดีกว่า” กลายเป็นภาพตลกร้าย เพราะในสนามจริงที่เขาพูดถึง ไม่มีลูกบอล ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงคร่ำครวญของคนที่สูญเสีย และซากบ้านที่ไหม้เกรียมจากไฟสงคราม

คำพูดที่เคยฟังดูเบาสบาย กลับกลายเป็นแผลลึกเมื่อเทียบกับความจริงที่เกิดขึ้นในทุกวินาทีของชายแดน

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่จำกัดแค่พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่กินพื้นที่แนวชายแดนยาวหลายร้อยกิโลเมตร บ้านเรือนพัง วัดและโรงเรียนที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจถูกเปลี่ยนเป็นศูนย์พักพิง เต็มไปด้วยเสียงเด็กร้องไห้และคนแก่ที่นั่งกอดเสื่อผืนเดียวที่เหลือ

ทุกชีวิตที่ต้องอพยพออกมา ล้วนเป็นภาพจริงที่ไม่มีใครบนเวทีการเมืองหยิบมาเล่า เพราะมันไม่สวยงามพอจะทำให้คนปรบมือ แต่สำหรับ ทหารลูกชาวบ้านที่เสียสละเลือดเนื้ออยู่แนวหน้า มันคือเหตุผลว่าทำไมประเทศนี้ต้องมีทหารที่พร้อมยืนในวันที่คนอื่นถอยหนี

คำพูดของพิธาและทักษิณจึงไม่ต่างจาก การทิ่มแทงหัวใจของคนที่เสียสละโดยไม่เคยอวดโอ้ สนามตะกร้อที่ถูกเอ่ยถึงไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่สนามรบที่เต็มไปด้วยควันไฟและเสียงปืน

สงครามชายแดนในครั้งนี้สอนให้เห็นว่า ความมั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาพูดลอย ๆ โดยไม่รับผิดชอบต่อความจริง ทหารมีไว้เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชน ไม่ใช่เพื่อเป็นเครื่องมือให้ใครสร้างภาพหรือดูถูกในวาทกรรมทางการเมือง

คำถามของพิธา “ทหารมีไว้ทำไม?” และคำเปรียบเปรยของทักษิณเรื่อง “สนามตะกร้อ” คือเครื่องย้ำเตือนว่า คำพูดที่ไม่อิงความจริงอาจพังทลายเมื่อเผชิญกับเลือดและเสียงปืน การเมืองที่เอาแต่สร้างวาทกรรมโดยไม่เห็นคนแนวหน้า จะไม่เคยเข้าใจความหมายของคำว่าประเทศชาติ

สนามรบไม่ใช่สนามตะกร้อ และคำถามว่าทหารมีไว้ทำไม ก็ได้รับคำตอบแล้วจากทุกชีวิตที่ยืนหยัดแนวหน้า ความจริงที่เกิดขึ้นวันนี้ได้เผาวาทะลวงโลกให้มอดไป พร้อมสอนทุกคนว่า ก่อนจะพูดอะไร ควรมองให้เห็นคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางกระสุนและเสียงปืนเสียก่อน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โถ! ทภ.2 เรียกร้องกัมพูชาหยุดวางทุ่นระเบิด ย้ำธำรงความสัมพันธ์ฉันมิตรเพื่อนบ้าน

รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากการรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่พื้นที่เกิดเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2568

ชายจีนเหยียบกับระเบิดขณะลักลอบเข้าไทย กกล.บูรพารีบส่งทีมเก็บกู้ช่วยชีวิต

เช้ามืด ตชด. ได้ยินเสียงระเบิดจากป่าละเมาะใกล้ถนนศรีเพ็ญ ตรวจด้วยโดรนพบชายจีน คาดลักลอบเข้าประเทศ บาดเจ็บจากทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจาน กกล.บูรพาส่งชุดเก็บกู้เข้าช่วยทันที ก่อนประสาน ตม. ดำเนินขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป

ทำอะไรไม่ได้ ! กองทัพภาค 2 แฉกัมพูชาขโมยลวดหนาม คาดล่อทหารไทยเข้าเขตสังหารซุกระเบิด

กองทัพภาค 2 แฉพบทหารเขมรขโมยลวดหนามออกจากพื้นที่ชายแดน บริเวณช่องระยี–ช่องเปรอ อ.กาบเชิง จว.สุรินทร์

เปิดรายงาน AOT ชี้ชัดเขมรซุกทุ่นระเบิดใหม่ ทำทหารไทยขาขาดรายที่ 7

กองทัพไทยเปิดรายงาน ผลตรวจสอบของ AOT ยันทุ่นระเบิด PMN-2 ห้วยตามาเรีย- ภูมะเขือ ทำทหารขาขาดรายที่ 7 ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้าง

ทหารยกระดับคุมเข้มชายแดนไทย-เมียนมา ป้องรุกล้ำอธิปไตย

ทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจรามนู กองกำลังนเรศวร พร้อมอาวุธปืนหนัก-รถยานเกราะ นำกำลังพลออกลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และวางกำลังตามจุดล่อแหลม