พรรคประชาธิปัตย์ เคยยืนตระหง่านเป็นเสาหลักของรัฐสภา เป็นโรงเรียนการเมืองและเป็นที่พึ่งของชนชั้นกลางเมืองใหญ่ แต่วันนี้ถูกมองไม่ต่างจาก “ศพการเมืองที่ยังหายใจ” และ “อนุสาวรีย์ที่รอวันล้ม” มีร่างแต่ไร้พลัง มีอดีตแต่ไร้อนาคต การสูญเสียฐานเสียงทั้งใต้และกรุงเทพฯ การเลือกจับมือกับฝ่ายตรงข้ามและการไม่อาจเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ กำลังบีบให้พรรคนี้เหลือเพียงเศษซากศรัทธา พร้อมรอคำพิพากษาจากอนาคตทางการเมืองไทย
มีพรรคการเมืองหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกให้เป็น เสาหลักของระบบรัฐสภาไทย เป็นโรงเรียนการเมือง เป็นที่บ่มเพาะผู้นำ และเป็นคำตอบในวันที่บ้านเมืองสั่นไหว พรรคนี้ไม่ได้ยืนอยู่ด้วยจำนวนที่นั่งเพียงอย่างเดียว แต่ยืนอยู่บน ความศรัทธาของผู้สนับสนุน ที่เชื่อมั่นว่าอย่างน้อยยังมีที่พึ่งทางการเมืองที่ไม่อิงกระแส หากยึดหลักการและอุดมการณ์เป็นเข็มทิศ
นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่เคยถูกเชิดชูว่าเป็น “พรรคสถาบัน” ของไทย แต่วันนี้ภาพที่เห็นกลับตรงกันข้าม พรรคที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมถอย ถูกตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่ายังเหลืออะไรอยู่บ้างนอกจากซากอดีต พรรคที่เคยตั้งตระหง่านดุจอนุสาวรีย์ทางการเมือง วันนี้กลับถูกมองว่าเป็นเพียง “อนุสาวรีย์ที่รอวันล้ม” รอเพียงแรงกระแทกสุดท้ายที่จะโค่นลงมา และคำถามก็คืออนาคตจะยังมีพื้นที่ยืนอยู่ในใจประชาชนหรือไม่
การลาออกของ เฉลิมชัย ศรีอ่อน จากหัวหน้าพรรค คือร่องรอยล่าสุดที่เผยให้เห็นบาดแผลลึกของประชาธิปัตย์ ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนตัวบุคคล แต่คือหลักฐานว่าพรรคนี้กำลังตกอยู่ในสภาพ ไร้ทิศทาง เมื่อผู้นำไม่สามารถนำพรรคได้เต็มกำลัง แม้จะอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ ทว่าความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ พรรคได้สูญเสียความเชื่อมั่นไปนานแล้ว
การร่วมรัฐบาลกับคู่ตรงข้ามทางการเมือง คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ฐานเสียงเดิมหันหลัง ความภักดีที่มวลชนเคยมีต่อพรรคถูกสั่นคลอนอย่างไม่อาจกอบกู้ นี่คือการตัดสินใจที่แลกด้วย อุดมการณ์ เพื่อเพียงยื้ออำนาจ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการทำลายทุนศรัทธาที่สะสมมาตลอดหลายทศวรรษ
เมื่อเฉลิมชัยถอยออกมา สังคมไม่ได้เพียงถามว่าใครจะขึ้นแทน แต่ถามแรงกว่านั้นว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังเหลือใครที่สังคมจะฝากความหวังได้จริงหรือไม่ พรรคที่เคยเป็นหัวใจของการเมืองอุดมการณ์ กำลังกลายเป็นเพียง “ศพการเมืองที่ยังหายใจ” มีร่าง แต่ไร้วิญญาณ ไม่ต่างจากเงาที่ขยับไปมาโดยไม่อาจสร้างแรงบันดาลใจใดๆให้สังคม
ภาพถ่ายของ ชัยชนะ เดชเดโช กับ กรณ์ จาติกวณิช เพียงภาพเดียวก็ถูกตีความไปไกลเกินกว่าการพบปะส่วนตัว มันสะท้อนความพยายามที่จะดึงอดีตกลับมาปะผุปัจจุบัน ขณะเดียวกันชื่อของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังวนเวียนอยู่ในกระแสเรียกร้องทุกครั้งที่พรรคถึงทางตัน แต่ไม่ว่าชื่อใดจะถูกหยิบขึ้นมา คำถามใหญ่ก็ยังคงอยู่ พรรคนี้ยังมี ความหมาย หรือไม่
ถ้าย้อนกลับไปดูสมรภูมิเลือกตั้งในรอบเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ภาพที่ชัดที่สุดคือ พรรคประชาธิปัตย์แทบไม่เคยยืนหนึ่งในระดับประเทศอีกเลย ฐานเสียงที่พอจะพยุงพรรคไว้ได้จริงๆ มีเพียง ภาคใต้ และ กรุงเทพมหานคร เท่านั้น
ภาคใต้ เคยเป็นเหมือน “อาณาจักรส่วนตัว” ของประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งแทบทุกครั้งเกือบกวาดเรียบทั้งภูมิภาค แม้จะมีบ้างที่แตกเสียงไปให้พรรคอื่น แต่ก็ไม่ถึงกับสั่นคลอน ขณะที่ กรุงเทพฯ ก็เป็นอีกหนึ่งสนามที่ประชาธิปัตย์เคยผูกขาดความนิยมยาวนาน ไม่ว่าจะด้วยภาพลักษณ์ความเป็นพรรคเมือง หรือด้วยบุคลิกผู้นำที่ดู “ทันสมัย” ในยุคของ ชวน หลีกภัย และโดยเฉพาะในยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ และเจ็บปวด ภาคใต้เริ่มมีคู่แข่งแทรกเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทยหรือพลังประชารัฐ ส่วนกรุงเทพฯ ที่เคยเป็น สมรภูมิอันปลอดภัย ของประชาธิปัตย์ ก็ค่อยๆ กลายเป็นสนามที่พรรคใหม่ๆ เข้ามาชิงพื้นที่จนสูญเสียความเป็นเจ้าถิ่น การเลือกตั้งปี 2562 คือหมุดหมายที่สะท้อนความพ่ายแพ้อย่างชัดเจน เมื่อประชาธิปัตย์เหลือเพียง 53 ที่นั่ง และสูญสิ้นอำนาจในเมืองหลวง
ความเจ็บปวดยิ่งทวีคูณในการเลือกตั้งปี 2566 เมื่อจำนวน ส.ส. ของพรรคหดลงเหลือเพียง 25 ที่นั่งทั่วประเทศ ตัวเลขที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป โดยไม่มีการปฏิรูปหรือเปลี่ยนวิธีคิด พรรคอาจถูกบีบจนเหลือเพียง เศษซากของศพการเมือง ที่สังคมไม่แม้แต่จะเหลียวแล
การที่ประชาธิปัตย์ตกต่ำไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือเส้นทางที่ลากยาวตั้งแต่วันที่พรรคต้องเผชิญคู่แข่งชื่อ ไทยรักไทย เมื่อปี 2544 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะการเลือกตั้งระดับประเทศอีกเลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนยุค เปลี่ยนหัวหน้า หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิมคือ ความพ่ายแพ้
ในยุค ทักษิณ ชินวัตร ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้เพราะนโยบายประชานิยมที่ตอบโจทย์ปากท้อง ในยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคยังไม่สามารถกู้ฐานเสียงกลับมาได้เต็มที่ แม้จะได้โอกาสเป็นรัฐบาลชั่วคราวในยุค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็เป็นรัฐบาลที่เกิดจากการจัดตั้งในสภา มากกว่าการได้เสียงข้างมากจากประชาชนจริงๆ จนกลายเป็นข้อครหาว่าพรรคนี้ “ไม่เคยชนะใจคนส่วนใหญ่ของประเทศ”
วังวนดังกล่าวไม่เพียงทำให้จำนวนที่นั่งลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังสะสมเป็น ภาพจำเชิงลบ ประชาธิปัตย์คือพรรคที่ลงสนามทีไรก็ “แพ้เชิงโครงสร้าง” ทุกครั้ง ไม่ว่าคู่แข่งจะมาในชื่อไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคใหม่ ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น พรรคนี้กลับเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่เสมอ
นี่คือปมสำคัญที่ทำให้เกิดคำถามแรงขึ้นทุกปีว่า ประชาธิปัตย์ยังมี คุณค่าทางการเมือง ที่แตกต่างพอจะรอดในสนามเลือกตั้งจริงๆ หรือไม่ หรือกำลังจะกลายเป็นเพียง อนุสาวรีย์ที่รอวันล้ม ที่ยืนอยู่ด้วยอดีต มากกว่าจะเดินหน้าด้วยพลังของปัจจุบันและอนาคต
โจทย์ใหญ่ของประชาธิปัตย์วันนี้จึงไม่ใช่เพียงการหาหัวหน้าคนใหม่ แต่คือการหาคนที่สามารถ กอบกู้ศรัทธา ให้กลับมาได้จริง และในวงสนทนาทางการเมืองก็มีสองชื่อที่ถูกหยิบยกขึ้นมามากที่สุด
กรณ์ จาติกวณิช เคยเป็นขุนคลังในยุคอภิสิทธิ์ ผู้มีภาพลักษณ์ของนักเศรษฐกิจรุ่นใหม่ คล่องแคล่วในภาษาเศรษฐกิจ และสามารถเชื่อมโยงกับโลกธุรกิจสากลได้ จนหลายคนเชื่อว่าเขาอาจเป็น “อนาคต” ของประชาธิปัตย์ในวันหนึ่ง
แต่เส้นทางที่เลือกออกไปตั้งพรรคใหม่ ก่อนจะถูกรวมเข้ากับชาติพัฒนากล้า กลับไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวัง ภาพของกรณ์จึงยังอยู่ในกรอบของ “บุคลิกและความสามารถ” มากกว่าความเป็นจริงทางการเมือง ทว่าชื่อของเขาก็ยังถูกหยิบยกขึ้นมา เพราะอย่างน้อยยังไม่ถูกครอบด้วยตราบาปทางการเมืองเหมือนใครหลายคน
ส่วนอีกชื่อคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคและอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้แม้จะถอยออกมาจากเวทีการเมืองแล้ว แต่ชื่อของเขายังไม่เคยเลือนหาย ทุกครั้งที่พรรคเจอทางตัน เสียงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์กลับมา จะดังขึ้นซ้ำๆ เหมือนเป็นสัญชาตญาณของมวลชน ปชป. ที่ยังยึดโยงกับเขาอยู่
กระแสในโลกโซเชียลสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน มีทั้งอดีตสมาชิกพรรค แกนนำท้องถิ่น และผู้สนับสนุนจำนวนมากที่โพสต์หนุนให้อภิสิทธิ์กลับมานำพรรคอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ความเห็นจาก ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล (คุณปลื้ม) ที่แม้จะอยู่ตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด ยังออกปากว่า “ประชาธิปัตย์ควรคืนให้กับอภิสิทธิ์” และคำพูดนี้ถูกขยายผลใน TikTok กับแพลตฟอร์มต่างๆ จนกลายเป็นแรงกดดันให้พรรคต้องขบคิดอย่างจริงจัง
แรงสนับสนุนต่อสองคนนี้ แม้จะมีความต่าง แต่ก็สะท้อนปัญหาเดียวกันคือ ประชาธิปัตย์ยังถูกมองว่า ขาดบุคคลที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้จริง การพึ่งพาคนที่เคยเป็น “สัญลักษณ์แห่งความหวัง” ในอดีต จึงยังเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าอาจช่วยประคองพรรคให้เดินต่อ แต่จะพอสำหรับการฟื้นคืนชีพหรือไม่นั้น ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครกล้าตอบ
ต่อให้ชื่อของกรณ์หรืออภิสิทธิ์ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกกี่ครั้ง คำถามใหญ่ก็ยังคงเดิม ประชาธิปัตย์กำลังขาดเพียงตัวบุคคล หรือได้สูญเสียหัวใจของพรรคไปแล้ว
การจับมือกับพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ถูกตีความว่าเป็นเพียงเกมการเมือง หากแต่คือรอยร้าวที่ทำลายจุดยืนของประชาธิปัตย์อย่างถึงแก่น สิ่งที่เคยประกาศก้องว่าเป็น “พรรคอุดมการณ์” ถูกแปรเปลี่ยนเป็นภาพของพรรคที่พร้อมแลกหลักการกับตำแหน่ง สัญญาณนี้บอกชัดว่า สิ่งที่เคยเป็นทุนศรัทธากำลังถูกแลกเปลี่ยนด้วยผลประโยชน์ระยะสั้น และบาดแผลจากการแลกเปลี่ยนครั้งนั้นยังฝังลึกอยู่ในสายตาของผู้สนับสนุนดั้งเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น พรรคประชาธิปัตย์กำลัง หยุดนิ่งในวันที่การเมืองไม่เคยหยุดหมุน โลกการเลือกตั้งเปลี่ยนไปสู่ยุคที่นโยบายต้องจับต้องได้ การสื่อสารต้องฉับไว และความหวังต้องส่งตรงถึงมือประชาชน พรรคที่เคยครองใจชนชั้นกลางกรุงเทพฯ และเป็นเจ้าของพื้นที่ภาคใต้ กลับถูกเบียดแทรกจนเสียพื้นที่แทบสิ้น เพราะไม่สามารถ “พูดภาษาเดียวกับคนหนุ่มสาว” ได้อีกต่อไป
เมื่อขาดการเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ สิ่งที่เหลืออยู่คือภาพพรรคที่ดู เก่าแก่ทั้งในชื่อและในคน บุคลิกผู้นำ สไตล์การเมือง และวิธีคิด ล้วนสะท้อนภาพซ้ำๆของพรรคที่ยึดติดกับอดีตมากกว่าจะเปิดทางให้กับอนาคต
และเมื่อศรัทธาสั่นคลอน ฐานเสียงไหลออก สิ่งที่ยังฝังอยู่ในความทรงจำของสังคมคือคำว่า “ดีแต่พูด” คำสั้นๆ แต่กลายเป็นตราประทับทางการเมืองที่กัดกร่อนความน่าเชื่อถือยิ่งกว่าตัวเลขในสภา แม้อาจไม่ยุติธรรมกับรายละเอียดของผลงาน แต่ในโลกการเมืองคือภาพจำทรงพลังยิ่งกว่าความจริง และประชาธิปัตย์ก็ยังไม่อาจปลดตรานี้ออกจากตัวเองได้
ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาธิปัตย์ไม่ต่างจาก ศพการเมืองที่ยังหายใจ ที่ยืดชีพอยู่ด้วยแรงเฉื่อย และ อนุสาวรีย์ที่รอวันล้ม ที่ตั้งอยู่เพียงเพื่อเตือนความทรงจำของยุครุ่งโรจน์ แต่ไม่สามารถสร้างศรัทธาใหม่ได้อีกแล้ว
ประชาธิปัตย์คือพรรคที่เติบโตมาพร้อมกับประชาธิปไตยไทย เคยเป็นเสาหลัก เคยเป็นโรงเรียนการเมือง เคยเป็นความหวังของชนชั้นกลางเมืองใหญ่ แต่จากวันที่รุ่งโรจน์มาถึงวันนี้ พรรคกลับยืนอยู่บนทางแยกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ฐานเสียงที่เคยเหนียวแน่นถูกเจาะ กรุงเทพฯ ที่เคยเป็นสมรภูมิแห่งชัยชนะ กลับกลายเป็นสนามที่สูญเสียไปจนสิ้น ตัวเลขในสภากลายเป็นสัญลักษณ์ของการเสื่อมถอยมากกว่าจะเป็นพลังต่อรอง และที่หนักหนากว่านั้นคือ ความศรัทธาที่ถูกกัดกร่อน จนเหลือเพียงเศษความทรงจำของอดีต
บางคนยังฝากความหวังไว้กับชื่อเก่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือแม้แต่ “กรณ์ จาติกวณิช” แต่ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใคร หากพรรคไม่สามารถสร้าง เรื่องเล่าใหม่ ที่ตอบโจทย์สังคมวันนี้ได้ การกลับมาของใครก็อาจเป็นเพียงการยืดลมหายใจ ไม่ใช่การปลุกชีพ
อนาคตของประชาธิปัตย์จึงขึ้นอยู่กับคำตอบเพียงข้อเดียว พรรคนี้จะเลือกเป็นเพียง ศพการเมืองที่ยังหายใจ เป็น อนุสาวรีย์ที่รอวันล้ม หรือจะหาญกล้าเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้รอดจาก อนาคตที่รอการพิพากษา และกลับมามีความหมายต่อการเมืองไทยอีกครั้ง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'กรณ์' แนะ ปปง. ยึดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่ ต้องสาวให้ถึงคนไทย แฉพยายามโยกย้ายทรัพย์สิน
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารหลักฐานชี้ให้เห็นถึงธุรกรรมที่ผิดปกติเกี่ยวโยงกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา โดยสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวโยงกับวงการสแกมเมอร์ และอาจจะเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความพยายามในการฟอกเงินที่ได้มาจากธุรกรรมเหล่านั้น
'ดร.นิว' เผยจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่เรียกว่า 'ในหลวง' ทรงอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกวิกฤต
ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก จิตวิญญาณประชาธิปไตยที่เรียกว่า "ในหลวง" มีเนื้อหาดังนี้
อยากได้ก็ตั้งให้! ‘นิพิฏฐ์’ แนะนำ ‘อนุทิน’ ใช้นามสกุล ‘โอษฐภัย’
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเรื่อง “โอษฐภัย” โดยมีรายละเอียดว่า ผมฟังท่านนายกรัฐมนตรี อ
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
เทพไท ไม่แปลกใจ 'อภิสิทธิ์-ปชป.' ฉุดกระแสใต้คืนชีพ ห่วง สส.เขต โดนกระสุนดินดำเอาไปกิน
เทพไท ชี้ ผลการสำรวจของนิด้าโพล อาจวัดความนิยมของพรรคการเมือง และจะบ่งบอกถึงส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ แต่สำหรับส.ส.ในระบบเขต ยังเชื่อว่าพรรคการเมืองที่มีทรัพยากรพร้อม มีกระสุนดินดำเป็นจำนวนมาก และยิงเข้าเป้า ก็จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง
ปชป. ขานรับกระแสดีภาคใต้ ลั่นพร้อมสร้างการเมืองสุจริต
“ประชาธิปัตย์” ขอขอบคุณ ความไว้วางใจที่คนไทยมอบให้ พร้อมสร้าง “การเมืองสุจริต” ทำงานด้วย “ความมืออาชีพ” ด้วยนโยบายที่ “ทำได้จริง” เปิดรับสมัคร สส. วันสุดท้ายของแคมเปญ “สส.ที่ดี คุณเองก็เป็นได้นะ”


