ดุจเขื่อนใหญ่ที่กักเก็บสายน้ำไว้เต็มแรง ความคาดหวังของประชาชน ก็ถูกกักเก็บเช่นกัน รอวันที่ประตูจะเปิดปล่อยออกมา แต่สิ่งที่หลั่งรินกลับเป็นเพียงหยดเล็ก ไม่พอจะดับกระหายที่สะสมมานาน ความแห้งแล้งเช่นนี้คือเงาสะท้อนของช่องว่างที่กว้างขึ้นระหว่างผู้คนกับการเมือง
สังคมไทยเหมือนโลกสองใบ ใบหนึ่งคือประชาชนที่รอคอยมาตรการปากท้องที่จับต้องได้ อีกใบคือนักการเมืองที่เร่งรัดการแก้รัฐธรรมนูญ ทั้งสองเดินเคียงกัน แต่ไม่เคยมาบรรจบ
คำถามไม่ใช่ว่าเรื่องใดสำคัญกว่า หากแต่คือเหตุใด สิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จึงไม่ถูกทำให้เป็นความเร่งด่วนในสายตาของนักการเมือง
เสียงจากสังคมดังซ้ำ เป็นคำถามเดิมว่า “คนละครึ่งจะกลับมาเมื่อใด” เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการนี้ช่วยได้จริง มันไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงาน แต่คือ เงินครึ่งหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระจริง ทั้งค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พร้อมกับทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนอย่างชัดเจน
รัฐบาลอนุทิน ประกาศว่าจะเดินหน้าฟื้นโครงการนี้ โดยกำหนดกรอบเริ่มต้นใน เดือนตุลาคม และกำลังออกแบบรายละเอียดใหม่ให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน หนึ่งในประเด็นคือการกำหนดเงื่อนไขระหว่างผู้ที่อยู่ในระบบภาษีกับประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างความเป็นธรรมและตอบโจทย์ข้อมูลที่รัฐต้องการใช้ในการบริหาร
แม้ยังไม่มีรายละเอียดครบถ้วน แต่สิ่งที่ปรากฏชัดคือ การพยายามแบ่งเบาค่าครองชีพของประชาชน ในจังหวะที่สังคมกำลังรอคอยมาตรการจับต้องได้
ในขณะที่ประชาชนรอคำตอบเรื่องปากท้อง อีกด้านหนึ่งของสังคมกลับเต็มไปด้วย ความเร่งรีบของนักการเมือง พรรคใหญ่ต่างแข่งขันกันเร่งเสนอสูตรการแก้รัฐธรรมนูญ ราวกับว่านี่คือเวทีที่ต้องรีบจองพื้นที่ ก่อนใครจะชิงความเป็นเจ้าของไป
ข้อเสนอถูกหยิบขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเลข 135 คนของพรรคประชาชน ที่แบ่งเป็นสองชุดเพื่อสะท้อนความสมดุล ตัวเลข 151 คนของพรรคเพื่อไทย ที่อ้างเรื่องการกระจายอำนาจผ่านจังหวัดและอาชีพ และ 99 คนของภูมิใจไทย ที่ย้อนกลับไปใช้โมเดลปี 2539
สำหรับนักการเมือง ตัวเลขเหล่านี้คือ หลักฐานการแสดงบทบาทและยืนยันจุดยืน แต่ในสายตาประชาชน มันเป็นเพียง หมากบนกระดานการเมือง มากกว่าคำตอบที่จะทำให้ชีวิตเบาขึ้น
ไม่มีใครปฏิเสธว่า การแก้รัฐธรรมนูญ มีความหมายใหญ่หลวง กติกาที่ดีคือรากฐานของประเทศ หากเขียนอย่างรอบคอบ ย่อมสร้างเสถียรภาพและลดความขัดแย้งในอนาคตได้
แต่ในวันนี้ ผู้คนต้องเผชิญ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าแรงที่หยุดนิ่ง และเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ภาระเหล่านี้ทำให้สังคมเหนื่อยล้า จนยากจะใส่ใจตัวเลข 99, 135 หรือ 151 ที่นักการเมืองหยิบมาอวดอ้าง
ภาพที่เกิดขึ้นจึงเหมือน ถนนคู่ขนาน ทางหนึ่งคือประชาชนที่รอการบรรเทาภาระ อีกทางหนึ่งคือนักการเมืองที่เร่งรัดกติกาเพื่อยืนยันบทบาทของตน
ความเร่งรีบของนักการเมืองไม่ได้เกิดจากเสียงประชาชน หากแต่มาจาก พันธะและยุทธศาสตร์ทางการเมือง พรรคเพื่อไทย จำเป็นต้องใช้เวทีนี้สร้างภาพว่ากำลังขับเคลื่อนภารกิจใหญ่ พรรคประชาชน ไม่อาจถอย เพราะนั่นหมายถึง การสูญเสียตัวตน ที่ประกาศไว้ตั้งแต่ก่อตั้ง
ส่วน พรรคภูมิใจไทย แม้ไม่ได้อยากเร่งมากนัก แต่ก็ถูกพันธะจาก ข้อตกลงกับพรรคประชาชน บังคับให้เดินไปในทิศทางเดียว
เบื้องหลังจึงเห็นชัดว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของสังคม แต่คือ ผลประโยชน์และการคำนวณเชิงการเมือง ของแต่ละพรรค
รัฐธรรมนูญจึงถูกใช้เป็น เหรียญแลกเปลี่ยนในเกมการเมือง พรรคหนึ่งได้ภาพ อีกพรรคได้จุดยืน อีกฝ่ายได้รักษาสัญญา แต่ประชาชนกลับยังไม่ได้คำตอบเรื่องง่ายๆ ที่ถามหามาตลอด
สิ่งที่ปรากฏคือ เสียงที่ไม่ประสานกัน นักการเมืองหมุนไปกับกติกาและตัวเลข ขณะที่ประชาชนหมุนไปกับรายรับรายจ่าย หากความไม่เชื่อมต่อนี้ยืดเยื้อ ความหิวในชีวิตจริง อาจกลายเป็น ความหิวในศรัทธา ซึ่งรุนแรงกว่ามาก
เมื่อหันกลับมาที่โครงการ คนละครึ่ง ความต่างยิ่งเด่นชัด มาตรการนี้เริ่มในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แม้รัฐบาลนั้นจะถูกวิจารณ์อย่างหนัก แต่โครงการนี้กลับเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนยอมรับตรงกันว่า “จับต้องได้จริง”
เพราะไม่ใช่คำสัญญาลอยๆ หากคือ เงินครึ่งหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระจริง ทั้งค่าอาหาร ค่าข้าวแกง และค่าของใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านค้าเล็กๆ มีลูกค้าเพิ่ม เศรษฐกิจท้องถิ่นเคลื่อนไหว และผู้คนรู้สึกว่าชีวิตเบาขึ้น
สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ รัฐบาลและฝ่ายค้านยัง เดินไม่ตรงกับสังคม แม้อยู่กันคนละฟาก แต่ต่างก็โฟกัสไปที่รัฐธรรมนูญราวกับเป็นวาระที่ประชาชนรอคอย ทั้งที่ในความจริง ผู้คนกำลังถามหาคำตอบที่ใกล้ตัวกว่านั้นมาก
รัฐบาลควรอธิบายชัดว่าจะบรรเทาค่าครองชีพอย่างไร ขณะที่ฝ่ายค้านก็ควรใช้ เรื่องปากท้องเป็นอาวุธตรวจสอบ ไม่ใช่ปล่อยให้การเมืองทั้งสองฟากหันเข้าหากติกามากกว่าหันหาความทุกข์ร้อนของสังคม
สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือ สังคมไทยกำลังเดินบนถนนคู่ขนาน ฝั่งหนึ่ง ประชาชนจับตาการฟื้นโครงการ คนละครึ่ง ที่เตรียมเริ่มในเดือนตุลาคม หวังบรรเทาค่าครองชีพ อีกฝั่งหนึ่ง นักการเมืองเร่งรัดการแก้รัฐธรรมนูญ เสนอสูตรและตัวเลขเพื่อรักษาบทบาทและพันธะทางการเมือง
การเดินคู่ขนานนี้ไม่ใช่ความผิด หากแต่จะกลายเป็นช่องว่าง หากทั้งสองไม่เคยเชื่อมเข้าหากัน ประชาชนจึงยังรู้สึกว่าปากท้องเดินไปทางหนึ่ง ขณะที่กติกาเดินไปอีกทางหนึ่ง
ทางออกคือ การทำให้สองเรื่องนี้บรรจบกัน นโยบายปากท้องต้องถูกผลักดันควบคู่ไปกับการร่างกติกาใหม่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเมืองไม่ทอดทิ้งชีวิตประจำวัน ขณะเดียวกันกติกาที่ถูกเขียนขึ้นก็ต้องมีความหมายต่อการสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคงในอนาคต
ปากท้องคือผลลัพธ์ระยะสั้น กติกาคือหลักประกันระยะยาว และหากทั้งสองถูกทำให้เสริมกันได้จริง การเมืองจะไม่เพียงตอบโจทย์วันนี้ แต่ยังวางรากฐานให้วันพรุ่งนี้ของประเทศเดินไปอย่างมั่นคงด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดนิยาม ผู้สมัคร อบต. ต้องนับตั้งแต่ ‘เสนอตัว’ ไม่ใช่วันได้สมัครต่อ กกต.
“ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม” ผ่าปมกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หลังนักการเมือง อบต.ฮือฮาแจกของช่วยน้ำท่วมหาดใหญ่ ระบุชัด สถานะ ผู้สมัคร เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ประกาศตัวลงสนาม ไม่ใช่วันที่ยื่นใบสมัครต่อ กกต. พร้อมเตือ
ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมการเมืองสามก๊ก ชิงยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญเป็นหมันทันที
สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาโต้ตอบทางการเมืองในเชิงหากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่รอ แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัด เกณฑ์ยุบสภา นับจากบรรจุวาระ ไม่ใช่วันฝ่ายค้านยื่นญัตติ
สืบเนื่องจากข้อถกเถียงระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรกับศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย มีค
'แก้วสรร' ออกบทความเดือด! ใครรังแกมึงวะ?
นายแก้วสรร อติโพธิ นักกฎหมาย นักวิชาการ เผยแพร่บทความในรูปถาม-ตอบ
'นักวิชาการ' ชี้นายกฯป้องอธิปไตย ไม่ทำไทยเสี่ยง 'รัฐบริวาร'
รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ไทยไม่ใช่ “รัฐบริวาร”!
‘ดร.ณัฏฐ์’ ผ่าปมคดีฮั้วเลือกสว. กรณีพยานกลับคำให้การ
สืบเนื่องจากมีพยานบางปากกลับคำให้การในชั้นสอบสวน ในคดีฟอกเงินที่กรมสอบสวนคดีพิเศษไ


