ในสังคมไทยคำว่า “บุญคุณ” มักถูกเล่าผ่านถ้อยคำงดงาม แต่เมื่อความภักดีเอ่อล้นจนไม่เหลือที่ว่างให้เหตุผล เรื่องของทวีและภูมิธรรมจึงดูคล้ายตำราที่ไม่มีใครตั้งใจเขียน แต่กลับถูกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าเรากำลังยกย่องศรัทธา หรือกำลังยึดติดกับพันธนาการที่ชื่อว่า “ภักดีที่ไม่เผื่อเหตุผล” กันแน่
หากจะหาคำที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน “บุญคุณ” คงเป็นถ้อยคำที่เด่นชัดที่สุด ไม่ได้เป็นเพียงคติสอนใจ หากยังเป็นเส้นใยที่ถักร้อยผู้คนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ครอบครัวเล็กๆ จนถึงชุมชน และขยายไปสู่เวทีการเมือง
ผู้ใดหยิบยื่นโอกาส ย่อมได้รับการตอบแทน ผู้ใดค้ำจุน ย่อมได้แรงหนุนกลับคืน ความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้คำว่า ภักดี มีความหมายลึกกว่าความผูกพันส่วนตัว กลายเป็นตราประทับที่สังคมมอบคุณค่าให้
แต่เมื่อความภักดีถูกสวมทับเข้ากับ อำนาจรัฐ สิ่งที่เคยเป็นคุณธรรมก็แปรเปลี่ยนไป ความกตัญญูที่น่ายกย่องอาจกลายเป็นบันไดทางการเมือง และสายสัมพันธ์เชิงบุญคุณก็อาจกลายเป็นเงื่อนไขที่ทำให้บางคนไม่ต้องเผชิญความรับผิดเต็มรูปแบบ
ภาพของ ทักษิณ ชินวัตร หลังกลับไทยในปี 2566 ที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องพิเศษชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม
จากโทษจำคุก 8 ปี เขาได้รับ พระราชทานอภัยลดโทษ เหลือเพียง 1 ปี แต่ตลอดเวลานั้นไม่เคยก้าวเข้าเรือนจำแม้เพียงวันเดียว
และเมื่อเดือนกันยายน 2568 ศาลฎีกามีคำสั่งบังคับโทษใหม่ให้จำคุก 1 ปี สิ่งที่ตามมาคือการยื่น ขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำ ชื่อของ ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น จึงถูกผูกเข้ากับกระบวนการนี้ทันที
ที่น่าสังเกตยิ่งกว่านั้น การเดินเรื่องเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนทวีพ้นตำแหน่ง ราวกับทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ บางคนอาจมองว่าเป็น “ผลงานชิ้นสุดท้าย” ขณะที่อีกมุมหนึ่งกลับตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่ควรเรียกว่าผลงานของรัฐมนตรี ควรสะท้อน หลักกฎหมาย มากกว่าความผูกพันส่วนตัวหรือไม่
เสียงวิพากษ์จากสังคมดังต่อเนื่อง นักกฎหมายบางราย ชี้ว่า การยื่นขออภัยโทษซ้ำเช่นนี้อาจขัดต่อหลักทั่วไปที่ไม่เปิดช่องให้ร้องซ้ำซ้อน รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบจึงควรเป็นด่านกลั่นกรองตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยผ่านโดยง่าย
อีกด้านหนึ่งก็มีความเห็นสวนทาง บางฝ่ายอธิบายว่า การยื่นขออภัยโทษคือ สิทธิของนักโทษ และรัฐมนตรีมีเพียง หน้าที่ ส่งต่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการ ไม่อาจปฏิเสธได้ ความเห็นที่ขัดกันเช่นนี้ ทำให้ชื่อของ ทวี สอดส่อง ถูกผูกเข้ากับการถกเถียงอย่างต่อเนื่อง
คำถามจึงไม่ได้หยุดที่ตัวบทกฎหมาย หากยังขยายไปสู่ข้อสังเกตว่า บทบาทของรัฐมนตรีครั้งนี้คือการรักษา หลักนิติธรรม อย่างแท้จริง หรือเพียงการรักษา สายสัมพันธ์ทางการเมือง ที่ยาวนานกันแน่
อีกด้านหนึ่งของเครือข่ายคือ ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้ยืนเคียงข้างทักษิณมาอย่างยาวนาน
จาก คนเดือนตุลา ที่ออกจากป่ามาทำงานเอ็นจีโอ เขาก้าวเข้าสู่สนามการเมือง และกลายเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ทำงานใกล้ชิดกับทักษิณตั้งแต่วันแรก
เส้นทางที่ตามมา เขารับตำแหน่งมากมาย ทั้งรัฐมนตรีมหาดไทย กลาโหม รองนายกรัฐมนตรี และถึงขั้นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ตำแหน่งเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความก้าวหน้า หากยังเป็น ภาพของการตอบแทนบุญคุณ ที่ต่อเนื่องไม่เคยขาดช่วง
ช่วงเวลาที่ทักษิณใช้ชีวิตอยู่นอกประเทศ ภูมิธรรมคือนักการเมืองที่ทำงานแทนในไทย ทำหน้าที่ทั้งคุมเกมพรรค วางกลยุทธ์ และจัดวางบุคคลในตำแหน่งสำคัญ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามทิศทางที่เจ้าของเครือข่ายต้องการ
เส้นทางนี้ไม่ได้หยุดเพียงทักษิณ แต่ยังทอดต่อถึงรุ่นลูก เมื่อ แพทองธาร ชินวัตร ก้าวขึ้นนั่งนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรมก็ยืนเคียงข้างในตำแหน่งรองนายกฯ ราวกับ พี่เลี้ยงทางการเมือง ที่ช่วยประคับประคองทายาททางการเมืองของทักษิณ ให้ก้าวเดินอย่างมั่นใจ
ในเวลาเดียวกัน ทวี สอดส่อง มิได้สังกัดพรรคของตระกูลชินวัตรโดยตรง แต่พรรคประชาชาติที่เขานำ กลับถูกมองว่าเป็น เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครือข่ายทักษิณ ในพื้นที่ที่พรรคของตระกูลชินวัตรไม่เคยปักธงได้เลย
การที่พรรคประชาชาติยังยืนอยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ จึงถูกมองว่าเป็น เส้นทางคู่ขนาน ที่ช่วยเสริมเครือข่ายทักษิณให้เข้าถึงพื้นที่ซึ่งพรรคตระกูลชินวัตรไม่อาจปักธง แม้จะเป็นเพียงพรรคขนาดเล็ก แต่กลับมีน้ำหนักในฐานะ สะพานการเมือง ที่ทำให้เครือข่ายยังมีที่ยืนในภูมิภาคนี้
วงการการเมืองมักพูดกันว่า พรรคนี้มิได้ขับเคลื่อนด้วยแรงศรัทธาท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว หากยังมีแรงหนุนและ ทุนสนับสนุนจากเครือข่ายใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงอยู่เบื้องหลัง ความสัมพันธ์เช่นนี้เองที่ทำให้ชื่อของทวี สอดส่อง มักถูกโยงเข้ากับคำว่า “บุญคุณ” แทบทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึง
ภาพรวมจึงคล้ายกับว่า ภูมิธรรม ดูแลป้อมใหญ่ในเมืองหลวง ขณะที่ ทวี ค้ำฐานเสียงปลายด้ามขวาน ทั้งสองทำงานต่างพื้นที่ แต่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ผูกโยงกลับไปยังศูนย์กลางเดียวกัน
สิ่งที่ทั้งคู่สะท้อนให้เห็น คือการเมืองไทยไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกติกาเพียงอย่างเดียว หากยังคงอาศัย สายสัมพันธ์เชิงบุญคุณ เป็นพลังเสริมที่ทำให้ผู้เล่นทางการเมืองยืนหยัดอยู่ได้
บางเสียงมองว่านี่คือคุณค่าที่บ่งบอกถึงการไม่ทอดทิ้งกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการเมืองยังคงยึดโยงอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลมากเกินไป จนกติกาที่ควรเป็นเส้นทางนำ กลายเป็นเพียงฉากหลังที่ไร้น้ำหนักจริง
ในมุมนี้ ทวี และ ภูมิธรรม จึงไม่ใช่เพียงเส้นทางชีวิตของนักการเมืองสองคน หากแต่เป็น ภาพแทนของระบบ ที่ยังผูกพันอยู่กับสายใยบุญคุณ
และเมื่อความภักดีถูกยกขึ้นเหนือเหตุผลสาธารณะ หลายคนจึงนิยามว่าเป็น ความภักดีที่ไม่เผื่อเหตุผล ความภักดีลักษณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายว่าถูกหรือผิด สิ่งสำคัญคือการยืนเคียงข้างผู้มีพระคุณอย่างมั่นคง
ในสายตาบางคน สิ่งนี้คือ ศรัทธา ที่งดงาม แต่สำหรับอีกหลายคน กลับกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเมืองไทยยังยากจะก้าวไปข้างหน้า ตราบใดที่ เหตุผลส่วนบุคคล ยังคงครอบงำเหนือ เหตุผลสาธารณะ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
เพื่อไทย เปิดตัว 'อดีตปลัด ก.เกษตร' ลงสนามชนบ้านใหญ่ 'ศิลปอาชา'
พท.เปิดตัว “ประยูร อินสกุล” อดีตปลัด ก.เกษตรฯ ลงสนามชนบ้านใหญ่ “ศิลปอาชา” ไม่ฟันจะปักธงเมืองสุพรรณได้หรือไม่ ชี้ขึ้นกับ ปชช. อ้อนกาเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค
'เทพไท' ชี้ 5 ปัจจัยทำเพื่อไทยยึกยักสางแค้นซักฟอกรัฐบาล
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหา
ลูกพรรครอเก้อ! 'ทวี' ชิ่งประชุมสรรหาผู้สมัคร สส. พบโผล่หาดใหญ่กับคณะเพื่อไทย
พรรคประชาชาติได้จัดประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ประชุมได้เห็นชอบส่งผู้สมัครเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 13 เขต มี 7 ส.ส. ในนามพรรคยังคงเป็นผู้สมัครในนามพรรค และรายชื่อทั้งหมดจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ


