สองปีในมือเพื่อไทย พายุหมื่นบาท เหลือเพียงไอร้อน รถไฟฟ้า 20 บาท ยังติดคาสถานี และ ศักดิ์ศรี ที่เคยชูสูงกลับก้มต่ำด้วยคำพูดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นฐานเสียงที่เคยแน่นก็ถูกเจาะ ศรัทธาที่เคยล้นก็ลดลง จนวันนี้ “เพื่อไทยจะกลับมา” ฟังดูไม่ใช่ถ้อยคำปลุกใจ แต่เป็นคำถามว่าจะกลับมาในสภาพใดกันแน่?
การเมืองไทยไม่เคยขาด ถ้อยคำสวยหรูที่ลอยเหนือความจริง เสียงที่ก้องในสภา หรือคำที่พรั่งพรูบนเวที มักถูกออกแบบให้ยิ่งใหญ่เกินกว่าชีวิตจริงจะสัมผัสได้ คล้ายบทกวีที่ประดับด้วยหมึกทอง แต่เมื่ออ่านจบ กลับไม่เหลือร่องรอยในความทรงจำ
และในบรรดาผู้ถนัดการใช้ วาทกรรม เพื่อยกตัวเองให้สูง พรรคเพื่อไทย คือหนึ่งในนั้น สโลแกน “หัวใจคือประชาชน” ถูกใช้ซ้ำมานานจนกลายเป็นตราประจำพรรคที่ใครก็จดจำได้และเมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2568 พรรคก็เลือกจะยกคำใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง “เพื่อไทยจะกลับมา : 2 ปี กับผลงานใหญ่ เพื่อคนไทย”
ข้อความนี้ตั้งใจจะปลุกศรัทธา แต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาไม่ใช่ความมั่นใจ หากเป็นคำถามว่าที่เรียกว่า “ผลงานใหญ่” นั้น อยู่ที่ไหนกันแน่
หากจะเลือกนโยบายหนึ่งที่ถูกโปรโมตมากที่สุดในสองปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอ้างว่า นี่จะเป็น “พายุหมุนเศรษฐกิจ” ที่ทำให้การใช้จ่ายสะพัดทันที เงินไหลลงสู่ตลาด และพาคนไทยลุกขึ้นยืนได้ใหม่ในเวลาไม่นาน
เงินถูกโอนเข้าบัญชีจริง ประชาชนบางส่วนได้ใช้จ่าย แต่สิ่งที่ตามมาคือผลลัพธ์ที่ไม่ถึงฝั่งฝัน เศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวแรงอย่างที่หวัง ราคาสินค้ายังสูง หนี้ครัวเรือนยังคงกดทับ หลายครอบครัวใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ว่าชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม
พายุที่ถูกคุยโตว่าจะกวาดล้างปัญหา จึงไม่ต่างอะไรจาก ลมร้อนวูบเดียว ที่พัดผ่าน ก่อนจะทิ้งความจริงอันหนักหน่วงไว้ตรงหน้าเหมือนเดิม
อีกนโยบายที่เพื่อไทยหยิบมาอวดคือ ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย วลีนี้ถูกพูดซ้ำจนติดหู ราวกับจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ ความเท่าเทียมในเมืองใหญ่
ใครๆก็อยากขึ้นรถไฟด้วยราคาเดียวกัน ไม่ต้องคำนวณเส้นทาง ไม่ต้องกังวลกระเป๋าสตางค์ ฟังดูง่ายเหมือนกดสวิตช์ แล้วทุกอย่างจะราบรื่นเอง
แต่ความจริงไม่เคยง่ายเช่นนั้น กฎหมายยังไม่ครบ งบประมาณบวมโต การเชื่อมต่อยังติดขัด แม้บางเส้นทางเริ่มทดลองใช้ แต่คำว่า “ตลอดสาย” ก็ยังแขวนลอยอยู่กลางอากาศ
ประชาชนจำนวนมากยังคงควักเงินจ่ายในอัตราเดิม บางคนได้ลองใช้ แต่เมื่อเดินทางจริงกลับไม่ต่างจากเดิมนัก สิ่งที่ถูกขายว่าเป็น ผลงานใหญ่ จึงเหลือเพียง ภาพสะท้อนที่ลอยอยู่บนกระจกสถานีรถไฟฟ้า
ก่อนเข้าสู่การบริหารประเทศสองปี แพทองธาร ชินวัตร เคยประกาศบนเวทีหาเสียงพรรคเพื่อไทยว่า “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” คำสั้นๆ ที่ตั้งใจจะสะท้อนภาพอนาคตที่ประชาชนไม่เพียงแค่รอด แต่ต้องมีชีวิตที่ภาคภูมิ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปีเต็ม ภาพที่ปรากฏกลับสวนทาง ประชาชนจำนวนมากยังไม่ “มีกิน” อย่างที่ควร หลายครอบครัวยังไม่ “มีใช้” อย่างเพียงพอ
และคำว่า “ศักดิ์ศรี” ที่เคยถูกยกไว้สูง กลับสั่นคลอนด้วยเหตุการณ์ที่ทำให้ประเทศดูอ่อนแรง
เสียงที่เล็ดลอดจาก คลิปหนึ่ง ยิ่งตอกย้ำความไม่สอดคล้องนั้น “อังเคิลอยากได้อะไรจัดให้” เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้คำมั่นที่เคยประกาศไว้บนเวทีหาเสียง กลายเป็น ดาบที่หันกลับมาฟันตัวเอง
มันทำให้เห็นว่า ความมั่นคงของรัฐไทย ไม่ได้ถูกสั่นคลอนจากกองทัพหรือเส้นเขตแดน แต่จาก ท่าทีของผู้นำเอง เมื่อคำพูดเพียงประโยคเดียว ทำให้ประเทศถูกมองว่ากำลัง ลดตัวลงไปง้อ มากกว่ายืนหยัดอย่างเท่าเทียม
สองปีที่เพื่อไทยประกาศว่าจะเสริม ความมั่นคงให้ประชาชน กลับเหลือเพียงภาพตรงกันข้าม ศักดิ์ศรี ที่ควรสูงขึ้นกลับถอย ความเชื่อมั่นที่ควรแข็งแรงกลับถูกกัดกร่อน และสิ่งที่ถูกยกเป็น “ผลงานใหญ่” กลับยิ่งทำให้คนตั้งคำถามว่า มีอะไรเหลือให้จับต้องได้บ้าง
สองปีผ่านไป สิ่งที่ถูกยกขึ้นเป็น “ผลงานใหญ่” ไม่ได้ทิ้งร่องรอยในชีวิตจริงเลย เงินหมื่นเข้าบัญชีในนามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กลายเป็นเพียง ลมวูบ ค่าโดยสาร 20 บาท ยังแขวนกลางอากาศ เรื่องศักดิ์ศรีของประเทศกลับถูกตั้งคำถาม
เมื่อผลงานไม่เป็นรูปธรรม สิ่งที่สะท้อนออกมาก็คือบรรยากาศการเมืองที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ และคำว่า “เพื่อไทยจะกลับมา” จึงฟังคล้ายการปลอบใจตัวเอง มากกว่าการปลุกใจคนอื่น
สนามเลือกตั้ง ก็ยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน อีสาน ที่เคยเป็นที่มั่น วันนี้ไม่แน่นเหมือนเดิม ศรีสะเกษ คือสัญญาณเตือน เก้าอี้ที่คิดว่าอยู่ในมือยังหลุดได้ง่าย
ในเมืองใหญ่ สายตาของคนทำงานรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนทิศคะแนนที่เคยมอบให้เพื่อไทย ถูกดึงไปโดย พรรคประชาชน ซึ่งดูสดกว่าและตรงใจมากกว่า
ภาพรวมที่เห็นจึงไม่ใช่พรรคที่เดินหน้า แต่เป็นพรรคที่ค่อยๆ ถอย และเมื่อเพื่อไทยยังย้ำคำว่า “เพื่อไทยจะกลับมา” มันจึงไม่ดังก้องเหมือนในวันเก่า
แรงกดที่ถาโถมเข้ามามีหลายทิศด้านหนึ่ง พรรคประชาชน กำลังขยายพื้นที่ในเมืองใหญ่อีกด้าน ภูมิใจไทย กำลังเดินเกมในชนบท กวาดพื้นที่ทีละเขต
เพื่อไทยไม่ได้อยู่ในจุดที่ยืนสง่าเหมือนเมื่อก่อน แต่ถูกบีบจนพื้นที่เล็กลงทุกที และในบรรยากาศเช่นนี้ คำว่า “เพื่อไทยจะกลับมา” จึงฟังดูห่างไกลจากความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ศรีสะเกษคือหลักฐานชัดเก้าอี้ที่คิดว่าอยู่ในมือยังหลุดไปได้ง่ายๆ ฐานเสียงที่เคยมั่นคง กลับถูกเจาะเข้ามาทีละเส้นและกำแพงที่เคยเชื่อว่าแข็งแรง กลับเผยให้เห็นรอยร้าวที่ซ่อมไม่ทัน
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นไม่ได้หยุดอยู่ที่เขตเลือกตั้งเดียว แต่คือภาพสะท้อนว่า พรรคที่เคยมั่นใจว่าครองใจคน ยังสามารถเสียพื้นที่ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
สองปีที่ผ่านมา นโยบายที่โหมก็จางหาย ดิจิทัลวอลเล็ตเหลือเพียงลมร้อน รถไฟฟ้า 20 บาทยังค้างคาสถานีและคำว่า “ศักดิ์ศรี” ที่เคยประกาศ กลับทำให้ประเทศดูอ่อนแรงลง
วันนี้เมื่อพรรคโพสต์ว่า “เพื่อไทยจะกลับมา” มันจึงไม่ใช่เสียงที่ปลุกศรัทธา แต่เป็นคำถามที่ย้อนสะท้อนกลับไปยังพรรคเองว่า จะกลับมาในสภาพใด
กลับมาพร้อมเก้าอี้ที่ลดลง กลับมาพร้อมศรัทธาที่ร่อยหรอ หรือกลับมาเพียงเพื่อย้ำคำเดิมว่า หัวใจคือประชาชน …ทั้งที่ในสายตาหลายคน มันอาจเหลืออยู่แค่ในสโลแกนเท่านั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
เพื่อไทย เปิดตัว 'อดีตปลัด ก.เกษตร' ลงสนามชนบ้านใหญ่ 'ศิลปอาชา'
พท.เปิดตัว “ประยูร อินสกุล” อดีตปลัด ก.เกษตรฯ ลงสนามชนบ้านใหญ่ “ศิลปอาชา” ไม่ฟันจะปักธงเมืองสุพรรณได้หรือไม่ ชี้ขึ้นกับ ปชช. อ้อนกาเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้


