ทักษิณ 'รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด' คำซ้ำที่พลิกภาพวีรบุรุษจนป่นปี้

“รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำในคำร้องขออภัยโทษ แต่คือเงาสะท้อนตัวตนของ “ทักษิณ ชินวัตร” จาก “วีรบุรุษ” ที่เคยถูกเชิดชูในวันก้าวสู่เรือนจำ สู่ภาพนักโทษที่ใช้คำซ้ำเพื่อหาทางออกจากคุก จนภาพลักษณ์ของตนเองและเครือข่ายการเมืองถูกทำลายลงอย่างป่นปี้วันที่ ทักษิณ ชินวัตร ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ เหตุการณ์นั้นกลายเป็นภาพใหญ่ของการเมืองไทยทันที อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกต้องติดคุกจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกา

ทันทีที่รถคุมขังแล่นเข้าสู่เรือนจำ ฝ่ายสนับสนุนต่างยกย่อง ทักษิณ เป็น วีรบุรุษ บอกว่ากล้าหาญพอที่จะก้าวเข้าสู่เรือนจำ เสียงโห่ร้องและคำชื่นชมดังขึ้นรอบกำแพงสูง สะท้อนถึงการศรัทธาที่ถูกสร้างขึ้นในวันนั้น

แต่เพียงไม่นาน ถ้อยคำ “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ในคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษจากเบื้องสูง

ถ้อยคำเดียวกันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกใช้ ก่อนหน้านี้ ทักษิณ ได้รับ พระราชทานอภัยลดโทษ จากโทษจำคุก 8 ปี เหลือเพียง 1 ปี โดยอ้างว่าทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ และได้อ้างว่า “สำนึกในการกระทำความผิด” แล้ว

แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การใช้ชีวิตในเรือนจำ อดีตนายกฯใช้เวลาทั้งหมดอยู่บน ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่ง

ทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำว่า คำว่า “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” ไม่เคยออกมาจากใจจริงเลย

จนกระทั่งศาลฎีกามีคำสั่งบังคับโทษใหม่ ทักษิณ จึงถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ใน เรือนจำจริง นี่คือครั้งแรกที่อดีตนายกฯ คนนี้ต้องใช้ชีวิตในคุก โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีห้องพิเศษ และไม่มี ชั้น 14

แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ก็มีการยื่นคำร้อง ขอ พระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย และถ้อยคำเดิมก็ถูกนำมาใช้อีกครั้ง “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” คำที่เคยถูกอ้างจนได้ลดโทษมาแล้วครั้งหนึ่ง กลับถูกนำมาซ้ำเพื่อหาทางออกจากคุก

ภาพที่ถูกยกขึ้นว่าเป็น วีรบุรุษ ในวันก้าวสู่เรือนจำ จึงเริ่มสั่นคลอนทันทีที่ถ้อยคำซ้ำเดิมดังขึ้นมาอีกครั้ง

ภาพของวีรบุรุษ ที่ฝ่ายสนับสนุนเคยเชิดชู กำลังแตกสลายลงอย่างน่าอับอาย เพราะเมื่อถึงเวลาต้องเผชิญหน้ากับเรือนจำจริง ทักษิณกลับเลือกใช้ถ้อยคำเดิมซ้ำๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการนอนคุกให้น้อยที่สุด

มันไม่ใช่ความกล้าหาญ หากแต่คือ ความขลาดเขลา ไม่ใช่การยอมรับผิด แต่คือการ ดิ้นรนเอาตัวรอด จนสังคมเริ่มมองว่า นักโทษรายนี้ไม่ต่างอะไรจากวีรบุรุษที่หลงเหลือเพียงเปลือก

คำว่า “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” จึงกลายเป็นเพียงประโยคที่ไร้น้ำหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อบังหน้า ไม่ใช่หลักฐานของการสำนึกจริง

การใช้ถ้อยคำซ้ำๆ เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ได้เพียงทำลายภาพลักษณ์ของทักษิณ เท่านั้น แต่ยังโยงมาถึง พรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าเป็นเงาตามตัวของเขา ความเชื่อมั่นที่พรรคพยายามสร้างว่าตนยืนอยู่บนหลักการ จึงสั่นคลอนทุกครั้งที่มีการปกป้องหรือแก้ต่างให้กับนักโทษคนนี้

สิ่งที่สังคมจับตามองไม่ได้มีแค่เกมการเมือง แต่คือการที่ ทักษิณ เลือกใช้ถ้อยคำเดิมเพื่อ ยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษซ้ำ

เมื่อมีการระบุว่า “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” อีกครั้ง เรื่องนี้จึงทำให้ กระบวนการทรงพิจารณาพระราชทานอภัยโทษ ต้องเวียนกลับมาอีกครา

และในสายตาของผู้คนจำนวนมาก ถ้อยคำดังกล่าวไม่ได้ออกมาจากใจจริง หากเป็นเพียง ถ้อยคำทางพิธีการ ที่หยิบมาใช้เพื่อให้ พ้นคุกเร็วที่สุด เท่านั้น

กระแสวิพากษ์ที่ดังขึ้นจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันพุ่งตรงไปที่ ตัวตนของทักษิณ เอง ว่าแท้จริงแล้วสำนึกผิดจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่หยิบถ้อยคำมาใช้เป็นบัตรผ่าน ในคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษ

สำหรับสังคมไทย คำว่า พระราชทานอภัยโทษ มีความหมายลึกซึ้งกว่าเรื่องกฎหมายใดๆ มันคือสัญลักษณ์ของ พระเมตตา ที่มีต่อประชาชน แต่เมื่อ ทักษิณ เลือกใช้คำซ้ำๆ เพื่อลดโทษของตัวเอง สิ่งนั้นกลับกลายเป็นการทำให้ ความศักดิ์สิทธิ์ของคำนี้ลดค่าลง

นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกน่ารังเกียจ เพราะไม่ใช่แค่การโกงกติกาเพื่อรอดคุก แต่คือการ ลดทอนคุณค่าของการอภัยโทษ ให้กลายเป็นเพียงเครื่องมือเอาตัวรอดของนักโทษคนหนึ่ง

ผลสะเทือนที่เกิดขึ้นจึงขยายวงกว้าง จากความผิดหวังส่วนบุคคล ไปสู่การตั้งคำถามเชิงสังคมว่า เรากำลังอยู่ในประเทศที่ กติกามีไว้เพียงบางคน หรือไม่

กรณีของ ทักษิณ ทำให้หลายคนย้อนมองไปยังนักโทษรายอื่น ที่ไม่เคยพยายามใช้สิทธิซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ พวกเขายอมรับโทษตามกระบวนการ ไม่มีโรงพยาบาลชั้นพิเศษ ไม่มีการพักโทษโดยง่ายและไม่เคยเอ่ยคำสำนึกผิดแบบซ้ำซาก เพื่อหาทางเลี่ยงคุกเหมือนที่ทักษิณเลือกทำ

เมื่อมาตรฐานความยุติธรรมถูกบิดเบือนเช่นนี้ ภาพลักษณ์ของ ทักษิณ จึงไม่เพียงถูกทำลาย แต่ยังกลายเป็นเงาสะท้อนที่ทำให้สังคมไทยหมดศรัทธาในกติกา เพราะเห็นชัดว่า คำว่า “สำนึกผิด” ถูกใช้เป็นแค่ ทางหนีทีไล่ของคนมีอำนาจ

เสียงสะท้อนในสังคมไม่ได้หยุดอยู่แค่คำถามเรื่องความจริงใจ แต่ยังกลายเป็นการตั้งข้อครหาต่อทั้งระบบการเมือง ว่าเหตุใดคนเพียงหนึ่งเดียวจึงสามารถใช้ช่องทางเหล่านี้ได้ ทั้งที่นักโทษอีกมากมายไม่เคยได้รับสิทธิพิเศษเช่นนั้น

สิ่งนี้ทำให้ ทักษิณ ไม่ได้เพียงถูกวิจารณ์ว่า หลอกตัวเอง แต่ยังถูกตราหน้าว่า หลอกสังคมทั้งประเทศ เมื่อถ้อยคำ “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” ถูกใช้เหมือนคำสาบานที่ไม่มีวันเป็นจริง ทุกประโยคจึงยิ่งทำลายความน่าเชื่อถือ แทนที่จะกอบกู้ภาพลักษณ์ให้กลับคืน

และต้องย้ำว่าในทางการเมือง พรรคเพื่อไทย เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกโยงกับภาพนี้ บางเสียงคาดว่า พรรคอาจพยายามหยิบยกการที่ทักษิณยอมเดินเข้าสู่เรือนจำ มาสร้างเป็นวาทกรรมทางการเมือง ว่านี่คือสัญลักษณ์ของนักสู้ผู้กล้าหาญ

แต่ความจริงที่ปรากฏกลับไม่สอดคล้อง เมื่อคำขออภัยโทษซ้ำถูกยื่นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพ “วีรบุรุษ” ที่ตั้งใจจะเชิดชู จึงเสี่ยงพลิกเป็น “วิบากบุรุษ” ผู้กำลังถูกสังคมตัดสิน ทุนที่หมายจะใช้เป็นแรงหนุน อาจกลายเป็นเงื่อนไขที่กัดกร่อนพรรคลงต่อเนื่อง

เรื่องราวทั้งหมดนี้ ได้เปลี่ยนภาพของทักษิณไปอย่างสิ้นเชิ จากที่เคยถูกยกย่องว่าเป็น วีรบุรุษผู้กล้าหาญวันนี้กลับถูกจดจำในอีกภาพหนึ่งไม่ใช่นักสู้ผู้ยอมเผชิญโทษ หากแต่เป็นวีรบุรุษที่ไร้ความกล้าหาญเผชิญความจริง เหลือเพียงเปลือกแห่งตำนานที่ผู้สนับสนุนเคยสร้างไว้

การเมืองไทยอาจยังคงเดินต่อไป แต่กรณีนี้จะถูกจารึกไว้ใน ความทรงจำของสังคม ว่าแม้แต่ผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่ ก็สามารถทำลายตัวเองได้ ด้วยการไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริง

คำว่า “รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิด” ที่ถูกย้ำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่ได้เป็นหลักฐานของการสำนึก แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการโกหกซ้ำๆ และคือจุดจบของภาพลักษณ์วีรบุรุษ ที่ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร

'ยศชนัน' โพสต์แนะนำตัว เชื่อคนไทยมีของ แต่โอกาส-ทุนไม่เอื้อ ขออาสาเป็นผู้นำพัฒนาคุณภาพชีวิต

นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “สวัสดีครับ ผม “เชน” ครับ หลายคนอาจคุ้นกับผมที่เป็นอาจารย์วิศวะ หรือลูกชายนักการเมือง แต่วันนี้ผมขอแนะนำตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

‘สมชาย’ ซูฮก ‘ลูกชาย’ มั่นใจทำงานเพื่อชาติได้ โตขนาดนี้แล้วต้องปล่อยอิสระ ‘พ่อ-แม่’ จะอยู่เบื้องหลัง

ที่พรรคเพื่อไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะบิดานายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเสนอชื่อ นายยศชนัน เป็นแ

ไม่พลิกโผ! เพื่อไทย เปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ 'สุริยะ-ยศชนัน-จุลพันธ์' 16 ธ.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย จำนวน 3 คนที่จะเปิดตัววันที่ 16 ธ.ค.ในกิจกรรม "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" ประกอบด้วย นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์