'ไทยก้าวใหม่' พรรคของดร.เอ้: เมื่อธนู 4 ดอกถูกยิงออกจากโลกสวยสู่โลกจริง

พรรคไทยก้าวใหม่ ของ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อาจไม่ใช่แค่ความฝันของนักวิชาการที่อยากเห็นประเทศดีขึ้นด้วยความรู้ แต่คือบททดสอบว่าอุดมการณ์จากโลกวิชาการอันสวยงาม จะยืนอยู่ได้แค่ไหน ในสนามที่ไม่ได้ใช้เกรดตัดสิน หากวัดกันที่ความไว้ใจและพลังของเครือข่าย “ฝุ่นการเมือง” ที่เริ่มจับบนรองเท้าอาจารย์ กำลังบอกว่านี่คือเกมคนละบทเรียนในห้วงที่การเมืองไทยกำลังขาดแคลน “ของใหม่” ชื่อของ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จึงถูกจับตามองในฐานะ “คนรุ่นกลาง” ที่พยายามขยับจากแวดวงมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยเหตุผลและความเป็นระเบียบ เข้าสู่สมรภูมิอำนาจจริงที่ไม่ได้อยู่ในกรอบของ “โลกสวย” อีกต่อไป

สุชัชวีร์เคยเป็น อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเคยลงสมัคร ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงที่พรรคกำลังเผชิญ วิกฤตศรัทธา จากการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เขาตัดสินใจลาออก เพื่อเริ่มต้นเส้นทางใหม่ที่วางด้วยความเชื่อของตัวเอง

วันที่ 3 ตุลาคม 2568 สุชัชวีร์เปิดตัว พรรคไทยก้าวใหม่ อย่างเป็นทางการ พร้อมสโลแกน “ไทยก้าวใหม่ ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง” เจ้าตัวพูดถึงเป้าหมายของพรรคว่า ประเทศไทยต้องหลุดพ้นจาก หลุมดำทางเศรษฐกิจ ด้วยพลังของ มันสมองมากกว่าแรงงาน และเชื่อว่า การสร้างคน คือคำตอบของทุกอย่าง

ไม่กี่วันต่อมา เขาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ย้ำแนวคิดเดิมว่า “หากจะช่วยประเทศไทยสักเรื่อง เราจะเริ่มต้นที่ การสร้างคน” ก่อนอธิบายนโยบายหลัก ธนูสี่ดอก ได้แก่ สร้างคน สร้างเศรษฐกิจ สร้างคุณภาพชีวิต และสร้างค่านิยมใหม่

แนวคิดเหล่านี้สะท้อนทั้ง ความตั้งใจ และ ความเป็นนักออกแบบเชิงระบบ ที่พยายามวางกรอบการพัฒนาประเทศจากฐานความรู้ และ ธนูสี่ดอก เหล่านี้ ก็เปรียบเสมือนลูกธนูที่สุชัชวีร์ตั้งใจยิงออกจาก โลกวิชาการอันสวยงาม สู่สนามจริงของอำนาจ ที่เต็มไปด้วยแรงลมของผลประโยชน์ และเป้าหมายที่ยังไม่รู้ว่าพุ่งถึงหรือไม่

พรรคไทยก้าวใหม่ กำลังวางโครงสร้างทางการเมือง เพื่อเข้าสู่กระบวนการจดทะเบียนพรรคอย่างเป็นทางการ แม้ยังไม่มีเครือข่ายในพื้นที่ แต่สิ่งที่ปรากฏชัดคือ ภาพของความหวัง ที่เจ้าของพรรคพยายามวาดไว้บนผืนผ้าใบการเมืองไทย

สุชัชวีร์อาจยังไม่รู้ว่าภาพนี้จะถูกเติมสีอย่างไรในสนามจริง แต่ในสายตาคนดู การเริ่มต้นของเขาได้ปลุกความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง ว่าในประเทศที่เต็มไปด้วยการเมืองเก่า คนที่พูดถึง “การสร้างคน” อาจกำลังพยายามเปลี่ยน โลกสวยในห้องเรียน ให้กลายเป็น โลกจริงของสนามเลือกตั้ง

สิ่งที่โดดเด่นในตัวสุชัชวีร์คือ ความเป็นนักพูดที่มีระบบ ทุกถ้อยคำถูกเรียบเรียงอย่างรอบคอบ เหมือนคนที่รู้ว่าช่วงไหนต้องเน้น และจังหวะไหนควรหยุด

ความเป็น นักวิชาการ ทำให้คำพูดของเจ้าตัวมีน้ำหนัก แต่ในขณะเดียวกัน ความเป็น นักสื่อสารมืออาชีพ ก็ทำให้หลายคนรู้สึกว่า ทุกอย่างดู “เป๊ะ” จนเกินจริงในสายตาผู้สนับสนุน เขาคือคนที่พูดสิ่งที่สังคมอยากฟัง แต่ในสายตาผู้วิจารณ์ ภาพนั้นกลับดูเหมือน “การจัดวาง” ทุกอย่างถูกควบคุมให้ออกมาดีเกินไป จนขาดความเป็นธรรมชาติของนักการเมืองที่ กล้าเสี่ยง กล้าชน และกล้าผิด

หลายคนยอมรับว่า สุชัชวีร์มี ความรู้ ความสามารถ และพลังทางความคิด แต่เมื่อเข้าสู่สนามการเมืองจริง สิ่งที่ต้องมีมากกว่าความรู้คือ จังหวะของอำนาจ

นักวิชาการอาจเชี่ยวชาญในการอธิบายปัญหา แต่ในโลกการเมือง บางปัญหาไม่ต้องอธิบาย เพียงแค่ต้องรู้ว่าจะหลบหรือชน

เขาอาจเชื่อว่าความรู้คือพลัง แต่การเมืองไทยไม่เดินด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว มันเดินด้วย แรงผลักของความสัมพันธ์ ระบบ และผลประโยชน์ และเมื่อความจริงข้อนี้ปรากฏชัด อุดมการณ์ของคนดีจำนวนไม่น้อย ก็มักหลุดจาก “โลกสวยที่ตัวเองเคยเชื่อ” อย่างเลี่ยงไม่ได้

แม้ พรรคไทยก้าวใหม่ ของสุชัชวีร์จะเพิ่งเริ่มต้น แต่เส้นทางที่เลือกเดินไม่ต่างจากนักการเมืองบางกลุ่ม ที่พยายามสร้าง “พื้นที่ใหม่” ให้กับการเมืองไทย ท่ามกลางความเบื่อของสังคมต่อการเมืองเก่า และความเชื่อว่า คนรุ่นใหม่กับความรู้ จะพาประเทศหลุดจากวงจรเดิมได้

หนึ่งในตัวอย่างนั้นคือ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีคลังและอดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่แยกตัวไปตั้ง พรรคกล้า ด้วยแนวคิด “การเมืองแห่งความรู้” แต่สุดท้ายก็ไม่อาจยืนระยะในสนามจริงได้ และกลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเมืองไทยไม่ได้เปลี่ยนง่าย ด้วยเพียงภาพลักษณ์ของ “คนรุ่นใหม่” หรือ “มืออาชีพ” เท่านั้น

ในอีกด้านหนึ่ง “ตระกูลส้ม” ของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ยังคงเดินต่อจาก อนาคตใหม่ สู่ ก้าวไกล และเมื่อก้าวไกลถูกปิดเส้นทางเพราะคดี มาตรา 112 วิธีคิดของกลุ่มเดิมก็แปลงร่างมาเป็น พรรคประชาชน ที่ยังคงเชื่อมั่นในพลังของคนรุ่นใหม่เหมือนเดิม

พรรคของ ดร.เอ้ แม้ไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่แรงขับเคลื่อนและอารมณ์ของการเกิดกลับคล้ายกัน เพราะต่างล้วนตั้งต้นจากความคิดเดียวกันว่า “เราทำได้ดีกว่ารุ่นก่อน” เพียงแต่สำหรับเขา การสื่อสารไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่คือ คันธนู ที่ต้องดึงให้ตึงอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกธนูแห่งอุดมการณ์ยังพอมีแรงพุ่งไปข้างหน้า

หลายคนพูดว่า ดร.เอ้เป็นนักสร้างภาพชั้นดี รู้มุมกล้อง รู้จังหวะยิ้ม และรู้ว่าโพสต์ตอนไหนถึงจะเป็นข่าว ดูเหมือนทุกการเคลื่อนไหวผ่านการซ้อมหลายรอบ จนบางครั้งภาพของความตั้งใจ กลับกลายเป็นความประดิษฐ์ มันไม่ใช่ความผิด แต่อาจทำให้คนรู้สึกว่ากำลังดู “โลกสวยในเวอร์ชันโปรดักชัน” มากกว่าการได้เห็นผู้นำทางการเมืองจริงๆ

ตอนนี้พรรคยังไม่มี ฐานเสียง ให้จับต้องได้จริง สิ่งที่เห็นคือกลุ่มคนที่ “ชื่นชมดร.เอ้” ในฐานะบุคคล มากกว่าจะศรัทธาในอุดมการณ์ของพรรค คล้ายกับการชอบตัวศิลปินมากกว่าฟังเพลงที่แต่ง

ฐานแฟนคลับเหล่านี้กระจุกอยู่ในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่หลงใหลภาพความเป็น อาจารย์ ผู้รู้ พูดดี แต่งตัวดี ซึ่งฟังดูไม่น่าผิดอะไร เพียงแต่ในสนามจริงของการเมือง คนที่พูดดีมักจะอยู่รอดยากกว่าคนที่พูดถึงปากต่อปากหากจะ “สร้างคน” จริง ๆ บางทีอาจไม่ต้องตั้งพรรค แค่กลับไปเป็นอาจารย์ดี ๆ สักคนในมหาวิทยาลัย ก็อาจเปลี่ยนชีวิตเด็กได้มากกว่าการตั้งพรรค ที่ยังไม่มีสาขาในพื้นที่เลยด้วยซ้ำ

แต่เมื่อเลือกจะ “ตั้งพรรค” แล้ว ความคาดหวังของสังคมก็เปลี่ยนทันที จากคนที่เคยถูกมองว่าเป็น ผู้รู้ในโลกสวย กลายเป็นคนที่ต้องพิสูจน์ว่า รู้จริงและทำได้จริง และตั้งแต่วินาทีนั้น ความท้าทายของสุชัชวีร์ก็เริ่มต้นขึ้น

เพราะ อำนาจไม่ได้เกิดจากตำแหน่งเสมอไป การเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้อยู่ในห้องประชุมรัฐสภาเท่านั้น แต่มันเริ่มต้นจาก แรงศรัทธา ที่ต้องสร้างขึ้นด้วยตัวเอง

เมื่อภาพต้องเจอกับฝุ่นในพื้นที่จริง สนามเลือกตั้งไม่ได้วัดกันที่คำสวยหรูหรือหลักสูตรปฏิรูป แต่วัดกันที่ใคร “อยู่กับคนได้” มากกว่าใคร

โลกของนักการเมืองไม่ใช่ห้องประชุมมีโปรเจกเตอร์ แต่มันคือเวทีชั่วคราวกลางตลาดนัด คือวงข้าวแกงริมทางที่ผู้สมัครต้องนั่งกินกับชาวบ้าน คือเสียงบ่นเรื่องถนนพัง น้ำไม่ไหล และลูกหลานตกงาน ปัญหาพวกนี้ไม่มีในสไลด์ แต่มีอยู่ทุกหัวมุมของประเทศ

และนั่นคือโจทย์ที่ พรรคไทยก้าวใหม่ จะต้องเจอในวันหนึ่ง เมื่อแนวคิดเรื่อง “การสร้างคน” ต้องไปอยู่ต่อหน้าคนจริงๆ ไม่ใช่บนหน้าจอหรือในเอกสารนโยบาย

สุชัชวีร์มีคำพูดที่คมชัด มีภาพที่ดูพร้อม แต่ความท้าทายจริงคือจะ เปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นความเชื่อ ได้อย่างไร

ฐานคนที่ “ชอบ” มีอยู่แล้ว แต่จะเปลี่ยนให้เป็นฐานคนที่ “เลือก” ยังต้องใช้เวลา เพราะในความจริงของการเมืองไทย คนไม่ได้ตัดสินใจจากความเข้าใจเสมอไป หลายครั้งพวกเขาเลือกเพราะ ไว้ใจ และความไว้ใจแบบนั้นไม่ได้เกิดจากคำพูดบนเวที แต่มาจากการอยู่ตรงนั้นในวันที่ไม่มีใครอยู่

เส้นทางของ พรรคไทยก้าวใหม่ จึงเหมือนบทเรียนตอนต้น ยังไม่รู้ว่าจะเขียนต่อได้ยาวแค่ไหน แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยยังเปิดพื้นที่ให้ “ความฝันแบบโลกสวยของอาจารย์” ได้ลองพิสูจน์อีกครั้ง

สิ่งที่สุชัชวีร์ทำอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่มันสะท้อนความเชื่อว่า การเมืองไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความโกรธ แต่อาจเริ่มจาก ความหวังว่าความรู้จะเปลี่ยนสังคมได้ เพียงแต่ความรู้นั้นจะอยู่รอดในสนามที่เต็มไปด้วย ดีล การต่อรอง และผลประโยชน์ หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ในโลกของการเมืองไทย ไม่มีใครสอบผ่านเพียงเพราะพูดดี แต่บางครั้ง คนที่อยู่รอดคือคนที่ “ยืนได้” ในวันที่ไม่มีใครยกมือให้ สุชัชวีร์อาจมีทั้งพลัง ความตั้งใจ และภาพลักษณ์ที่ขายได้ แต่เกมนี้ไม่ใช่เกมขายภาพ มันคือ เกมพิสูจน์ฝีมือ

การเมืองไม่วัดกันที่คำพูดหรือภาพลักษณ์ แต่วัดกันที่ใคร “ทำได้จริง” และ “ธนูสี่ดอก” ที่ถูกยิงออกจากโลกสวยและโลกวิชาการ จะพุ่งได้ไกลแค่ไหน คำตอบนั้นอยู่ใน โลกจริงที่รออยู่ตรงหน้า!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หัวหน้าเอ้' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครสส. 22 คน ลั่นประเทศไทยถึงเวลาหนีหลุมดำ

'ดร.เอ้' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัคร สส. 22 คน ชี้ ประเทศไทยถึงเวลาหนีหลุมดำ ย้ำ ต้องออกมาก้าวใหม่ เลิกจมหนี้-จมน้ำ

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

'หัวหน้าเอ้' เปิดศูนย์จ.สุราษฎร์ ตั้งเป้าขอปักธงในพื้นที่ ปลุกเลิกทนนายทุนเอาเปรียบเกษตรกร

'ดร.เอ้' เปิดศูนย์ประสานงาน จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งเป้าขอปักธงในพื้นที่ บอกเป็นลูกหลานคนใต้ คนไทยถูกเอาเปรียบพืชผลการเกษตรถูกกำหนดโดยนายทุน ขอให้เลิกทน เสนอแก้ราคาพืชผลการเกษตร-ลงทุนกับคนเรื่องการศึกษา พร้อมเปิดตัว 'มาโนช' เป็นผู้สมัคร สส. พรรคไทยก้าวใหม่

ยิ่งกว่าหนังซอมบี้! 'หัวหน้าเอ้' เห็นคนหนีตายน้ำท่วมหาดใหญ่ เสนอ 6 ทางรอด แต่รัฐบาลทำแค่อย่างเดียว

ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ลงพื้นที่น้ำท่วมหาดใหญ่ พร้อมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เที่ยงคืนที่ หาดใหญ่ "มืดมิด" เกินวิกฤตแล้ว

‘หัวหน้าเอ้’ โชว์กึ๋นรัวๆ เสนอ 6 ข้อเร่งด่วน ต้องทำใน 24 ชม.ช่วยคนหาดใหญ่

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ “ดร.เอ้” หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กว่า 6 ข้อเสนอเร่งด่วน ต้องทำ “24 ชั่วโมงจากนี้” เพื่อช่