จากลูกชาวประมง สู่แชมป์นักธุรกิจแบ่งปัน ผู้ปลุกภูมิปัญญาจักสานไทย สร้างรายได้ให้ช่างพื้นบ้าน 400 คนด้วยงานคราฟต์
"ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจของผมเอง มันอาจจะไม่โตแบบร่ำรวย แต่จะโตตรงพื้นราบด้วยการสร้างรายได้ให้กับคนระดับรากหญ้าในชุมชนทั่วประเทศผ่านการสร้างสรรค์งานหัตกรรม เมื่อมีรายได้มากขึ้นก็จะทำให้เค้าสามารถส่งลูกหลานให้มีการศึกษาที่ดี เพื่อจะหนีจากความยากจนได้" นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบจากทีมกรกต อินเตอร์เนชั่นแนล ในการแข่งขันรอบสุดท้าย Win Win War Season 7 ซึ่งมีการประกาศผลและมอบรางวัลในงานมหกรรมด้านความยั่งยืน หรือ Sustainablity Expo 2025 เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
กรกต อารมย์ดี เกิดในครอบครัวชาวประมง อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี แต่ชอบศิลปะมาก และมีความคิดตั้งแต่เรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 1 ว่า ในอนาคตอยากจะทำอาชีพด้านศิลปะ จากนั้น เขาก็เดินตามความฝันด้วยการเรียนปริญญาตรีทางด้านจิตกรรม ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แล้วก็เรียนต่อปริญญาโทด้านมัณฑศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพราะสนใจวิชาศิลปะพื้นบ้าน (Folk Arts) ที่สนับสนุนให้นักศึกษานำเอาศิลปะพื้นบ้านมาทำให้กลายเป็นงานศิลปะแบบร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการปั้น ทอผ้า หรืองานหัตถกรรมต่างๆ
กรกต เล่าว่า “ตอนทำวิทยานิพนธ์ก็คิดไม่ออกว่าจะทำชิ้นงานอะไร แต่พอนึกถึงก๋ง ทำให้ค้นพบไอเดียในการออกแบบไม้ไผ่โดยนำเทคนิคการทำว่าวของก๋งที่เขานั่งดูมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นโครงสร้าง การผูก การมัด การเชื่อมต่อจุดระหว่างเส้นตั้งและเส้นนอน มาสร้างสรรค์ไม้ไผ่ให้เป็นชิ้นงานศิลปะสมัยใหม่ได้อย่างมีอิสระที่ไม่เหมือนใคร หลังจากจบปริญญาโทแล้ว กรกต ก็ออกแบบผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ขาย และเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากส่งผลงานการออกแบบเข้าประกวดและคว้ารางวัลชนะเลิศทั้งในระดับประเทศ และอาเซียน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อผลงานของเขาได้รับคัดเลือกจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศให้ไปแสดงผลงานในงาน B2B เทรดโชว์สินค้าไลฟ์สไตล์และของตกแต่งบ้านระดับโลก Maison & Objet ที่ประเทศฝรั่งเศสและได้รับออเดอร์จากต่างประเทศด้วย
ทันทีที่พกออเดอร์กลับมา กรกตก็บอกกับตัวเองว่า เราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องแชร์ไปให้คนในชุมชนบ้านแหลม ซึ่งมีทักษะในการทำประมงและเครื่องมือต่างๆ ที่ถ่ายทอดกันมาช้านาน เพียงแต่ปรับการทำเครื่องจักสานให้ร่วมสมัย จริงๆ แล้ว ก๋งเป็นแรงบันดาลใจให้เขากลับไปสู่ชุมชน ก๋งบอกว่า การช่วยชุมชนมันมีความหมายที่ดีมาก เพราะการเอาเทคนิคของก๋งไปช่วยคนในชุมชนให้เค้ามีงานทำ เค้าก็ไม่ต้องอพยพไปไหน และมีความอบอุ่นที่ได้ดูแลครอบครัวได้”
โมเดลสร้างธุรกิจชุมชน
ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา กรกต ไม่เคยทิ้งความฝันที่จะผลักดันเศรษฐกิจชุมชนผ่านงานหัตถกรรมร่วมสมัยอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายขยายเครือข่ายช่างหัตถกรรมชุมชนทั่วประเทศจากปัจจุบันกว่า 400 คนใน 15 จังหวัด เขามองว่า ชุมชนสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มมูลค่าได้ เพราะแต่ละพื้นที่มีพืชที่อยู่หลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็นไม้ไผ่ หญ้าสามเหลี่ยม ไผ่ข้าวหลามกาบแดง กระจูด คล้า และหญ้าลิเภา เป็นต้น มีช่างพื้นถิ่น และมีวิชา หรือทักษะที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งเอาพืชที่อยู่รอบตัวมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน แต่เราจะเอาเทคนิคและกระบวนการทำ ผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น แล้วปรับสัดส่วน รูปทรง ดีไซน์ และสีสัน ให้เป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัยนำไปสู่ตลาดต่างประเทศได้
กรกต บอกว่า สิ่งสำคัญคือการสร้างนักออกแบบรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทในการยกระดับเครื่องจักสานของชุมชน ซึ่งนอกจากจะใช้ Korakot Bamboo Handicraft ที่บ้านแหลม เป็นแหล่งเรียนรู้ เขายังเป็นอาจารย์สอนด้านการจัดการศิลปะและการออกแบบ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ด้วย
นอกจากนี้ กรกต กำลังสร้าง Korakot Project ที่บ้านแหลม เพื่อให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ ทำเวิร์คชอปหัตถกรรมสำหรับนักศึกษา ผู้ประกอบการ OTOP หรือผู้ที่สนใจ ซึ่งเขาอยากสร้างการรับรู้ว่า ศิลปะมีบทบาทในการสร้างเมืองอย่างไร การใช้แนวความคิดริเริ่ม สร้างมิติให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ มีวินัยในการทำงานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สร้างระบบการจัดการให้มีความเป็นมืออาชีพ และให้ความสำคัญกับเวลาในการเรียนรู้จากการปฏิบัติให้มาก เพื่อจะได้เข้าใจกระบวนการ ขั้นตอนต่างๆ ในการทำ ที่เหลือจะเป็นการสร้างสรรค์ไอเดีย ซึ่งจะเป็นบ่มเพาะนักออกแบบรุ่นใหม่ให้สามารถไปสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ในชุมชนของเขาทั่วประเทศ โดยจะเปิดดำเนินการ Korakot Project ได้ในปีหน้า
วันนี้ งานคราฟ์กรกตจากฝีมือช่างพื้นถิ่นได้รับความสนใจจากต่างประเทศอย่างมาก โดยมีโอกาสถ่ายทอดผลงานในคาเฟ่ดิออร์ ที่ Dior Gold House และโรงแรมหรูทั่วโลก และจะไปสร้างสรรค์ผลงานในดิออร์ ลังกาวี และดิออร์ มิลาน ในปีหน้าอีกด้วย
C asean เป็นแพลตฟอร์มเพื่อสังคม ด้วยการสนับสนุนจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ริเริ่ม “Win Win WAR Thailand เมื่อปลายปี 2560 โดยเป็นรายการเรียลลิตี้โชว์ (Reality show) ที่มุ่งมั่นค้นหาสุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน ธุรกิจที่พร้อมจะคืนประโยชน์ให้กับสังคม ธุรกิจที่พร้อมกับความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่เดินหน้าสร้างความสุขให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน
นอกจากได้รับรางวัลเงินสดมูลค่าสูงถึง 2 ล้านบาทแล้ว ผู้ชนะเลิศยังมีโอกาสในการนำเสนอแนวคิดทางธุรกิจต่อผู้ที่อาจสนใจร่วมลงทุน และสังคมในวงกว้าง โอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับนักธุรกิจเพื่อสังคม ในบทบาทของคณะกรรมการ และโค้ช รวมไปถึง การเรียนรู้จากองค์กรชั้นนำของประเทศ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กลุ่มคริสตอลลา มอบคาร์บอนเครดิต 1,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ให้งาน SX2025
กลุ่มคริสตอลลา มอบคาร์บอนเครดิต 1,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ขับเคลื่อนมหกรรมด้านความยั่งยืนครั้งยิ่งใหญ่ สู่ CARBAR NEUTRAL EVENT
เสียชีวิตเฉียบพลัน ป้องกันได้ด้วยการหมั่นเช็คอาการหัวใจและคุณภาพการนอน
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมนักกีฬาฟุตบอลระดับโลก นักวิ่งมาราธอน นักไตรกีฬา หรือแม้แต่คนที่ออกกำลังกายในยิม ถึงเสียชีวิตเฉียบพลันคาสนามได้ทั้งที่อายุไม่ถึง 30 ปี
“กรกต อารมย์ดี” ยกระดับจักสานไทยสู่เวทีโลก คว้าแชมป์ Win Win War Season 7
จากลูกชาวประมง สู่แชมป์นักธุรกิจแบ่งปัน ผู้ปลุกภูมิปัญญาจักสานไทย สร้างรายได้ให้ช่างพื้นบ้าน 400 คนด้วยงานคราฟต์
From Climate Change to Disaster จากวิกฤตภูมิอากาศสู่หายนะซ้ำซ้อน เราจะปรับตัวทันหรือไม่?
ครั้งหนึ่งภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนถูกพูดถึงในฐานะ “ปัญหาในอนาคต” แต่ปัจจุบันความถี่และความรุนแรงของพายุที่ซัดถล่ม น้ำท่วมใหญ่ คลื่นความร้อนที่ยาวนาน
คณะเยาวชนโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 45 เรียนรู้แนวคิด Rapartment Store พร้อมต่อยอดธุรกิจ ในพื้นที่ภูมิลำเนา ขับเคลื่อนเศษฐกิจที่บ้านเกิด จุดประกายพลังเยาวชนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อวันจันทร์ 3 ตุลาคม 2568 คณะเยาวชน โครงการ “ สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 45 จากพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 320 คน ได้แก่ จังหวัดปัตตานี นราธิวาส สตูล ยะลา และสงขลา
เมื่อชาวบ้านเป็นเจ้าของตลาด: บทพิสูจน์ CBT ไทยที่ไม่ต้องพึ่งงบรัฐ 4 โมเดลท่องเที่ยวชุมชนที่ยืนหยัดได้หลังโควิด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้น เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงกิจกรรมพักผ่อนหรือการสร้างรายได้


