สามพรรคใหญ่กำลังฉายภาพการเมืองไทยคนละทิศ ประชาธิปัตย์พยายามฟื้นความเชื่อมั่น เพื่อไทยเผชิญแรงถอยจากภายใน ขณะที่ภูมิใจไทยขยายอิทธิพลขึ้นในสนามจริง จังหวะของทั้งสามกำลังจัดเรียงอำนาจใหม่ในสมการการเมืองไทยอีกครั้ง
การเมืองไทยในช่วงนี้กำลังปรับจังหวะครั้งใหญ่ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นเกือบพร้อมกัน แต่ทั้งหมดมีทิศทางร่วมกัน คือการจัดเรียงสมดุลของอำนาจใหม่ในระดับพรรค
กระแสเริ่มจาก พรรคประชาธิปัตย์ ที่เปิดทางให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมานำพรรคอีกครั้ง เพื่อฟื้นความหมายของพรรคที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของระบบรัฐสภา และพยายามเรียกศรัทธาที่หายไปในช่วงหลายปีหลังความพ่ายแพ้ต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน พรรคเพื่อไทย เผชิญแรงสะเทือนจากภายใน การตัดสินใจแบบรวมศูนย์ยังอยู่ในมือของตระกูลชินวัตร แต่ความไม่พอใจเริ่มสะสม และยิ่งชัดขึ้นหลังการลาออกของ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” อดีตหัวหน้าพรรคซึ่งอยู่กับเครือข่ายนี้มายาวนาน
ส่วน พรรคภูมิใจไทย ขยับพื้นที่ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้งเมื่อผลการเลือกตั้งซ่อม กาญจนบุรี เขต 4 “วิสุดา วิเชียรศิลป์” จากภูมิใจไทย สามารถชนะ พล.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช จากเพื่อไทยได้อย่างขาดลอย
สามเหตุการณ์นี้ แม้แยกกันเกิด แต่มีความหมายร่วมคือ พรรคหนึ่งพยายามฟื้น พรรคหนึ่งเริ่มถอย และ อีกพรรคหนึ่งกำลังขยายฐาน ทั้งหมดสะท้อนจังหวะใหม่ของการเมืองไทย ที่ไม่มีใครครอบครองพื้นที่เดิมได้ตลอดไป
การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เริ่มมีทิศทางชัดเจนอีกครั้ง พรรคนี้เคยมีรากฐานมั่นในระบบพรรค แต่การสูญเสียความนิยมต่อเนื่องทำให้กลไกภายในแผ่วลง
อภิสิทธิ์จึงกลับมาในฐานะ “จุดยืนของความต่อเนื่อง” เพื่อเชื่อมคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ และฟื้นระบบการทำงานภายในให้กลับมามีเอกภาพ
ขณะเดียวกัน การลาออกของ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” สะท้อนแรงอึดอัดที่หมักหมมในพรรคเพื่อไทย เพราะระบบการตัดสินใจยังคงผูกอยู่กับ “ตระกูลชินวัตร” จนโครงสร้างการมีส่วนร่วมภายในพรรคแทบไม่มีอยู่จริง
ในจังหวะเดียวกัน ผลการเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดกาญจนบุรี เขต 4 ซึ่งพรรคภูมิใจไทยคว้าชัยจากเพื่อไทย ได้กลายเป็นแรงสะเทือนเชิงจิตวิทยา ที่ทำให้ สส.หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับอนาคตของพรรคตนเอง
ชัยชนะของ “วิสุดา วิเชียรศิลป์” ลูกสาวของ “ศักดา วิเชียรศิลป์” อดีต สส.เพื่อไทย ซึ่งย้ายเข้าสังกัดภูมิใจไทย ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นเพียงการรักษาที่นั่งในพื้นที่ แต่กลายเป็น “แรงสะเทือนทางการเมือง” ที่สั่นถึงพรรคใหญ่ระดับประเทศ
เธอสามารถชนะ พล.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช จากเพื่อไทย ด้วยคะแนน 52,807 ต่อ 35,964 คะแนน ผลต่างกว่า 16,843 คะแนน
ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอดีตสส.ที่ย้ายออกจากเพื่อไทยเอง หรือผู้สมัครที่เป็นคนใกล้ชิดของอดีต สส.เหล่านั้น มักไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้กลับชนะขาดอย่างชัดเจน สะท้อนว่ากระแสของเพื่อไทยลดลงจริง และชื่อพรรคไม่อาจการันตีชัยชนะได้อีกต่อไป
เหตุการณ์นี้เชื่อมต่อกับการเลือกตั้งซ่อมที่ศรีสะเกษ ซึ่งภูมิใจไทยก็สามารถพลิกชนะเพื่อไทยได้เช่นกัน สองสนามภายในเวลาไม่ถึงเดือน กลายเป็นแรงกระเพื่อมในหมู่ สส.เพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับนักการเมืองที่กำลังลังเล ว่าควรอยู่ต่อหรือย้ายพรรค ผลเลือกตั้งซ่อมสองจังหวัดนี้ อาจเป็น “คำตอบสุดท้าย” ที่ทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
เพราะในขณะที่เพื่อไทยกำลังเผชิญแรงสะเทือน ภูมิใจไทยกำลังกลายเป็นพรรคที่ “มีแรงส่งทางการเมือง” และถูกมองว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้แทนที่ต้องการรักษาฐานเสียงในพื้นที่ของตน
แรงสะเทือนจากการเลือกตั้งซ่อม กำลังเปิดปัญหาภายในของพรรคเพื่อไทยมากกว่าจะกระทบคู่แข่ง
หลังความพ่ายแพ้ต่อเนื่องทั้งที่ศรีสะเกษและกาญจนบุรี เสียงสะท้อนจากสมาชิกพรรคเริ่มดังขึ้น ว่าปัญหาหลักไม่ใช่คู่แข่งทางการเมือง แต่คือ “ระบบภายใน” ที่ขาดกลไกการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ทุกการตัดสินใจสำคัญยังขึ้นตรงต่อคำสั่งของตระกูลชินวัตร จนเสียงของผู้แทนในพื้นที่แทบไม่มีความหมาย และการสื่อสารระหว่างส่วนกลางกับฐานรากก็ขาดความเชื่อมโยง
กระแสของพรรคตกลงตั้งแต่ช่วงวิกฤตความมั่นคง หลังการปรากฏของ “คลิปเสียงฮุน เซน” ที่โยงชื่อ แพทองธาร ชินวัตร แม้พรรคพยายามปฏิเสธ แต่ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอนไปแล้ว โดยเฉพาะในสายตาของประชาชนที่เคยสนับสนุนตระกูลนี้ทางการเมืองมาโดยตลอด
เพื่อไทยพยายามอธิบายว่ากำลัง “สรุปบทเรียน” จากความพ่ายแพ้ แต่บทเรียนเดียวที่เห็นได้จริงคือ พรรคยังไม่มี “ระบบบริหารพรรค” ที่เป็นของส่วนรวม เพราะทุกอย่างยังขึ้นอยู่กับคำสั่งจากคนเพียงไม่กี่คน
ขณะที่ภูมิใจไทยใช้จังหวะนี้ขยายอิทธิพลในพื้นที่ และประชาธิปัตย์ค่อยๆฟื้นภาพ “พรรคระบบ” ที่ยืนบนหลักการชัดเจน ทำให้สนามการเมืองไทยเริ่มจัดเรียงตัวใหม่อีกครั้ง
เมื่อแรงสั่นจากสนามเลือกตั้งซ่อมเริ่มสงบ สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่เพียงแค่ผลแพ้ชนะ แต่คือ “ภาพอำนาจจริง” ที่เริ่มชัดว่าการเมืองไทยกำลังขยับฐานใหม่ ระหว่างพรรคที่ยังยืนได้กับพรรคที่เริ่มเสียสมดุล
พรรคเพื่อไทย หลังสูญเสียศรัทธาและเผชิญแรงสั่นจากภายใน กำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ว่าจะ “เปลี่ยนเพื่ออยู่รอด” หรือ “ยื้อจนพังไปเอง”
เพราะสิ่งที่เห็นชัดที่สุดในวันนี้คือ คำสั่งจากคนของตระกูลเดียว ไม่อาจพาพรรคให้อยู่รอดในสนามจริงได้อีกต่อไป
ภูมิใจไทยค่อยๆ ขยับจากพรรคระดับปฏิบัติการสู่พรรคที่มีอำนาจต่อรองจริงในทางการเมือง ฐานเสียงจากอีสานถึงภาคตะวันตกกำลังกลายเป็นพลังใหม่ ที่ทุกฝ่ายต้องคำนวณไว้ในสมการของอำนาจ
ส่วนประชาธิปัตย์ พยายามสร้างภาพของ “พรรคที่ยึดระบบมากกว่าบุคคล” การกลับมาของ “อภิสิทธิ์” ช่วยให้พรรคดูมีจุดยืนและทิศทางชัดเจนขึ้น ในห้วงเวลาที่คนจำนวนมากเริ่มเบื่อการเมืองแบบตัวบุคคล แม้ยังไม่แข็งแรงพอจะครองใจมวลชน แต่ได้กลับมาอยู่ในสมรภูมิความคิดทางการเมืองอีกครั้ง
การเมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่เกมของภาพลักษณ์หรือคำพูด แต่วัดกันที่ “อำนาจจริง” ในพื้นที่ใครรักษาฐานเสียงได้ ใครขยายพลังในสภาได้ คนนั้นคือผู้ถือจังหวะของประเทศในมือ
สามพรรคใหญ่ในวันนี้จึงกลายเป็น “สามจังหวะของการเมืองไทย” จังหวะหนึ่งฟื้น จังหวะหนึ่งถอย และอีกจังหวะหนึ่งขยาย
ประชาธิปัตย์ พยายามฟื้นจากการสูญเสียยาวนาน ด้วยการกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่วางพรรคให้อยู่บนเส้นทาง “พรรคระบบ” ซึ่งเชื่อในหลักคิดมากกว่ากระแส แม้ยังไม่ขยายฐานสนับสนุนได้ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็เริ่มกลับมามีตัวตนในสนามการเมืองอีกครั้ง
เพื่อไทย ถอยจากจุดสูงสุดอย่างชัดเจน พรรคที่เคยมั่นคงในเสียง สส. กำลังเผชิญภาวะรั่วไหลจากภายใน ระบบรวมศูนย์ที่ผูกอยู่กับตระกูลเดียวทำให้พรรคอ่อนแรงในระดับพื้นที่ และการพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งซ่อมทั้งศรีสะเกษและกาญจนบุรี ยิ่งตอกย้ำว่าจุดอ่อนภายในเริ่มเห็นได้ชัดเจน
ภูมิใจไทย ขยายพื้นที่ทางอำนาจอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพราะกระแส แต่เพราะยุทธศาสตร์ที่ต่อเนื่อง จากการวางฐานในพื้นที่ สู่การเพิ่มอำนาจต่อรองในสภา พรรคนี้กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของ “การเมืองเชิงโครงสร้าง” ที่รู้จักรักษาฐานและขยายอิทธิพลไปพร้อมกัน
และจังหวะใหม่ของการเมืองไทย จะอยู่ในมือของพรรคที่รู้จังหวะรักษาอำนาจ พร้อมสร้างสมดุลระหว่าง “ฐานเสียง-ยุทธศาสตร์-ศรัทธา” อย่างที่พรรคการเมืองไทยต้องเผชิญต่อจากนี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' หนีบ 'รมว.กลาโหม' บินลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
พรุ่งนี้ "อนุทิน" พร้อม รมว.กลาโหม บินลงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุปะทะ ตรวจความพร้อมจัดการพิทักษ์ส่วนหลังเพื่อความปลอดภัยประชาชน สนับสนุนทหารส่วนหน้าปฏิบัติภารกิจเต็มกำลัง
นายกฯ สั่งการกองทัพปกป้องอธิปไตย ให้ผู้ว่าฯ อพยพปชช.
นายกฯสั่ง ”กองทัพ“ ปกป้องอธิปไตย ดูแลความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมสั่งการผู้ว่า อพยพ ปชช. จ.ชายแดน
ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 3 คือดักทาง ยุบสภาปี 68 เป็นศูนย์
นักกฎหมายมหาชนชี้ แก้รัฐธรรมนูญแม้ผ่านวาระ 2 ไม่ยาก แต่ต้องแช่แข็งร่าง 15 วันก่อนขึ้นวาระ 3 ทำเกมยุบสภาไร้ทางเกิดขึ้นภายในปีนี้ ขณะตัวแปรชี้ชะตาอยู่ที่เสียง สว. สีน้ำเงิน ในขั้นสุดท้ายก่อนประชามติ
เอาแล้ว ‘อนุสรณ์’ ดักคอ ‘อนุทิน’ อย่าชิงยุบสภาหนีซักฟอก
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ออกมาระบุรัฐบาลเสียงข้างน้อย เตรียมความพร้อมที่จะยุบสภาทุกเมื่อ
'เทพไท' ชี้เป้าให้ พท. ซักฟอกอนุทิน 4 เรื่องใหญ่
นายเทพไท เสนพงศ์ นักวิจารณ์การเมือง และอดีตสส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” เรื่อง ชี้เป้า ซักฟอก อนุทิน ผมเห็นข่าวที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
นายกฯ ขอให้ชาวสตูลมั่นใจรัฐบาลไม่ทอดทิ้ง เร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม ช่วยเยียวยาให้เร็วที่สุด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย พร้อมคณะ ลงพื้นที่ โรงเรียนบ้านคลองขุด เพื่อมอบถุงยังชีพ 800 ชุด ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย

