จาก 'คนขายหมู' ถึงมติวุฒิสภา บทเรียนประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

มติของวุฒิสภา 130 ต่อ 26 เสียง ให้ส่งเรื่องของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ไปยัง ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในสังคมไทยว่าผู้มีตำแหน่งทางการเมืองควรใช้ถ้อยคำอย่างไร เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณะ

ประโยคหนึ่งของ น.ส.นันทนา “ดิฉันถูกโหวตออกจากกรรมาธิการพัฒนาการเมือง แล้วได้คนขายหมูเข้ามาแทน”

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของทั้งหมด แม้เธอจะกล่าวถ้อยคำนั้นในพื้นที่สื่อสาธารณะ ไม่ใช่ในห้องประชุมของสภา แต่เมื่อออกจากปากของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ้อยคำดังกล่าวสะเทือนต่อศักดิ์ศรีของผู้คนมากกว่าที่หลายคนคาดคิด

นางแดง กองมา สมาชิกวุฒิสภาจากจังหวัดอำนาจเจริญ ผู้ถูกพาดพิงโดยตรง เล่าว่า “ตอนฟังคำพูดนั้น รู้สึกเหมือนถูกลดคุณค่าความเป็นคน” เธอบอกว่าทำอาชีพขายหมูมานาน เลี้ยงครอบครัว ส่งลูกเรียนจนจบ และภูมิใจในสิ่งที่ทำ

คำพูดจากคนในสาธารณะย่อมมีน้ำหนักในตัว และนั่นคือสิ่งที่คณะกรรมการจริยธรรมเห็นว่า “ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง”

การพิจารณาเริ่มจากคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา มี พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ เป็นประธานคณะกรรมการได้วิเคราะห์พฤติกรรม เจตนา ตำแหน่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ รวมถึงประวัติ ความประพฤติ มูลเหตุจูงใจ และสภาพแวดล้อมของกรณี

ก่อนสรุปว่า การพูดของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส เข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภา

ที่ประชุมเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้อง “วางตนไม่เป็นกลาง มีอคติกับกลุ่มอาชีพ ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และเสียดสีสมาชิกวุฒิสภาคนอื่น” อันเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่ง และขัดต่อการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แห่งการประชุมวุฒิสภา

เสียงข้างมากในที่ประชุมวุฒิสภาจึงเห็นชอบให้ส่งเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยอ้างอิงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 4, 27, 34, 50 (3) และ (6), 107

และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 14, 18, 24, 29 และ 31

คำว่า “ขายหมู” ในตัวมันเองอาจไม่ใช่คำดูถูก แต่เมื่อออกจากปากของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งใช้อำนาจรัฐ มันสะท้อนถึงมุมมองเชิงลำดับชั้นทางสังคมโดยไม่รู้ตัว เพราะสังคมไทยยังมีภาพจำที่แบ่งคุณค่าคนจากอาชีพ

มติครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการพิจารณาความผิดทางจริยธรรม แต่ยังเป็นการยืนยันว่าศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนต้องได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือ “คนขายหมู” ก็ตาม

หลังมติผ่าน เสียงสะท้อนในสังคมการเมืองยังคงต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “สว.พันธุ์ใหม่” ซึ่งมีแนวคิดใกล้กับ พรรคประชาชน หรือที่หลายคนรู้จักว่าเป็นแนวเดียวกับพรรคตระกูลส้ม

กลุ่มนี้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับมติของวุฒิสภา โดยมองว่าเสียงข้างมากในสภาเป็น “กลุ่มอำนาจเก่า” ที่ใช้มติทางจริยธรรมเป็นเครื่องมือ “จัดการผู้เห็นต่าง”

แต่สิ่งที่ถูกหยิบยกกลับมาในสังคมคือข้อครหาที่พูดกันมาต่อเนื่องเรื่อง การฮั้วกันตั้งแต่ขั้นตอนเลือก สว. ทั้งที่ทั้งกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน และกลุ่มพันธุ์ใหม่ ต่างเข้าสู่ตำแหน่งจากระบบเดียวกัน  คือระบบ “เลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปิดช่องให้เกิดการล็อบบี้หรือจัดโควตาในแต่ละเครือข่าย

กลุ่มแนวคิดก้าวหน้า-สิทธิมนุษยชนที่สนับสนุน พรรคประชาชน เองก็เคยรณรงค์ในแนวทางลักษณะเดียวกัน พยายามสร้างเครือข่ายในกลุ่มอาชีพเพื่อผลักดันผู้มีอุดมการณ์เดียวกันเข้าสู่สภา เพียงแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันรอบสุดท้าย หรือพูดให้ตรงคือ “เล่นในกติกาเดียวกันแต่แพ้”

ดังนั้น เมื่อมาวันนี้ การกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่า “ฮั้ว” จึงกลายเป็นการย้อนส่องเงาของตนเอง มากกว่าการเปิดโปงความไม่ชอบธรรมของระบบ

และสิ่งที่เห็นชัดจากเหตุการณ์นี้คือ ฝ่ายที่ยืนยันว่า “ยืนข้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเสรีภาพ” กลับยอมรับถ้อยคำที่ลดทอนผู้อื่นได้ง่าย ๆ เมื่อผู้พูดเป็น “คนในฝ่ายเดียวกัน” หรือมีจุดยืนทางการเมืองคล้ายกัน

คำถามที่จึงเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ว่าใครผิดจริยธรรม แต่คือ “ศักดิ์ศรีของมนุษย์” มีค่าสำหรับทุกคนจริงหรือ หรือมีไว้เพื่อใช้ปกป้องเฉพาะคนที่คิดเหมือนกันเท่านั้น

ในอีกด้าน ฝ่ายที่อ้างตนว่า “ยืนข้างประชาธิปไตย” กลับไม่ยอมรับผลของกติกาเดียวกับที่ตนเองใช้เข้าสู่ตำแหน่ง เมื่อผลไม่เป็นตามหวัง ก็ใช้ถ้อยคำอย่าง “ใบสั่ง” หรือ “สภามีเจ้าของ” โจมตีเสียงข้างมากในวุฒิสภา

หลังมติออก น.ส.นันทนา ให้สัมภาษณ์ว่า “ดิฉันจะไม่ยอมแพ้ จะไม่สยบยอมต่อสีน้ำเงิน และจะต่อสู้จนถึงที่สุด”

คำพูดนั้นสะท้อนชัดว่า เธอมองการตัดสินของวุฒิสภา ในฐานะ “เครื่องมือทางการเมือง” มากกว่ากระบวนการตรวจสอบทางจริยธรรม

จุดนี้เองที่เผยให้เห็นรอยปริของโลกทัศน์ฝ่าย “ก้าวหน้า-สิทธิ-ประชาธิปไตย” ซึ่งย้ำเรื่องศักดิ์ศรีอยู่เสมอ แต่กลับเพิกเฉยต่อมาตรฐานเดียวกัน เมื่อผู้กระทำเป็นคนในฝั่งตน

ถ้าคนขายหมูไม่มีสิทธิ์ยืนในสภา แล้วประชาธิปไตยที่พูดถึงกำลังปกป้องใครกันแน่

เพราะคนที่ยืนหยัดรักษาความเชื่อมั่นของประชาชน ไม่ใช่คนที่พูดเรื่องสิทธิเสรีภาพในทางทฤษฎี แต่คือ นางแดง กองมา สมาชิกวุฒิสภาอีกคนหนึ่งที่ตอบกลับถ้อยคำที่ลดทอนอาชีพของตน ด้วยการยืนยันคุณค่าของแรงงานและศักดิ์ศรีความเป็นคน

การเมืองที่อ้างปกป้องเสรีภาพ จะไม่มีความหมายเลยหากเสรีภาพนั้นถูกใช้เพื่อเหยียบผู้อื่นให้ต่ำลง

ความเห็นที่แตกต่างในวุฒิสภาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กรณีของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ได้ทำให้เส้นแบ่งนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาแสดงความเห็นว่า มติของวุฒิสภาครั้งนี้เป็น “การตั้งข้อกล่าวหาที่เกินจริง” โดยมองว่าคำพูดของ น.ส.นันทนา เป็นเพียงการ “ส่อเสียด” และควรลงโทษในระดับ “ว่ากล่าวหรือตำหนิ” เท่านั้น

เธอยังเสนอว่า น.ส.นันทนา ควร “ขอโทษผู้เสียหาย” เพื่อเยียวยาทางจิตใจ แต่ไม่ควรถึงขั้นส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ

อย่างไรก็ดี ความเห็นนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงในวงกว้าง เพราะหลายคนเห็นว่า เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาพูดด้วยถ้อยคำที่ กระทบศักดิ์ศรีผู้อื่น การขอโทษเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อคำพูดนั้นส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรที่เป็นสถาบันทางการเมือง

ในอีกด้าน ฝ่ายที่สนับสนุน น.ส.นันทนา ซึ่งมักอยู่ในแนวคิดสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย กลับตั้งคำถามไปยัง สว.สีน้ำเงิน ทำนองว่าจริยธรรมที่ถูกยกมาใช้นั้น เป็นหลักการร่วมของทุกคนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเครื่องมือในเกมการเมืองเพื่อจัดการฝ่ายตรงข้าม

แต่ขณะเดียวกัน สังคมส่วนหนึ่งก็เริ่มมองกลับว่า หากคนที่อ้างปกป้องศักดิ์ศรีมนุษย์กลับพูดถ้อยคำที่ลดค่าผู้อื่นเอง จริยธรรมที่พูดถึงอาจกำลังกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของทั้งผู้อื่นและตัวผู้พูดไปพร้อมกัน

การลงมติครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความเห็นของเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา แต่ยังแสดงจุดยืนขององค์กรว่า คำพูดของผู้มีตำแหน่งย่อมมีน้ำหนักมากกว่าคนทั่วไป

สังคมอาจให้อภัยความพลั้งปากของคนธรรมดาได้ แต่เมื่อผู้พูดอยู่ในตำแหน่งใช้อำนาจรัฐ ทุกคำพูดย่อมถูกตีความและตรวจสอบในระดับที่สูงกว่า

ด้าน น.ส.นันทนา อธิบายว่าเธอต้องการใช้ “เสรีภาพในการพูด” และมองว่าการลงมติของวุฒิสภาเป็นความพยายาม “ปิดปากผู้เห็นต่าง” ขณะที่ฝ่ายที่เห็นต่างก็ชี้ว่า เสรีภาพนั้นต้องไม่ละเมิดศักดิ์ศรีของผู้อื่น

เส้นแบ่งระหว่าง “เสรีภาพ” กับ “ความรับผิดชอบทางจริยธรรม” จึงกลายเป็นจุดที่สังคมถกเถียงกันมากที่สุด และกรณีนี้ทำให้เห็นว่า หากเสรีภาพถูกใช้เพื่อสะกิดศักดิ์ศรีของผู้อื่น ความชอบธรรมทางการเมืองของผู้พูดก็สั่นคลอนเองโดยไม่ต้องมีคำพิพากษาใด

มติของวุฒิสภายังไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสอบสวน หลังจากนี้เรื่องจะถูกส่งต่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาว่าจะชี้มูลหรือไม่ หากมีมูล ก็จะเข้าสู่การพิจารณาของศาล

แม้ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน แต่มติครั้งนี้เปิดประเด็นสำคัญในสังคมไทย ว่าความอิสระในการพูดกับความเหมาะสมทางจริยธรรม จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร

กรณีนี้ไม่ใช่เพียงการพิจารณาบุคคลคนหนึ่ง แต่สะท้อนถึงมาตรฐานที่สังคมคาดหวังจากผู้ใช้อำนาจ และเป็นบทเรียนของประชาธิปไตยในโลกจริง ที่เสรีภาพต้องเดินคู่กับความเคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน

ไม่ว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร สิ่งที่ยังคงอยู่คือคำถามต่อผู้มีตำแหน่งว่า พลังของคำพูดควรถูกใช้เพื่ออะไร และในระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพย่อมมีคุณค่าเมื่อมากับความรับผิดชอบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อภิสิทธิ์' ลั่นต่อสู้ให้การเมืองกลับมาเป็นเรื่องความนิยมอุดมการณ์-นโยบายตัวบุคคล

หัวหน้าปชป. ไม่หวั่น อดีต สส. แห่ย้ายพรรค พร้อมส่ง สส.ชน ย้ำไม่มีใครผูกขาดคะแนนเสียง บอกหากวันเลือกตั้งต้องขยับ เนื่องจากเหตุสุดวิสัยเป็นเรื่องเข้าใจได้

ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!

แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

ปชป. ชู 3 แกนหลัก การเมืองสุจริต ความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ไม่มีดีลลับ

ปชป. ประกาศเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ชู 3 แกนหลัก สุจริต-มืออาชีพ-ไว้วางใจ พร้อมสะท้อนปัญหาหาดใหญ่ถึงรัฐบาล

เอวัง!‘คนละครึ่ง พลัส เฟส2’ไปต่อไม่ได้ขัดข้อกฎหมาย

เอวัง! ‘เอกนิติ’ แจงถก กกต. แล้วยืนยันเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส เฟส2 ไม่ได้ ชี้ติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน ระบุ ครม.รักษาการผูกพันงบไม่ได้ตามรัฐธรรมนูญ