ตรรกะป่วยของ 'ณัฐพงษ์-ธนาธร' จากวิกฤตชายแดนสู่โรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัด

จากชายแดนที่ไทยถูกยิงจริง ไปจนถึงเวทีสัมมนาที่ฝันเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัดทั่วประเทศ พรรคส้มแสดงวิธีคิดชุดเดียวกัน คือขยายอุดมคติให้ใหญ่กว่าข้อเท็จจริง มองข้ามประวัติผิดข้อตกลง มองข้ามศักยภาพท้องถิ่น และมองข้ามว่ารัฐต้องปกป้องอธิปไตยก่อนทุกเรื่อง ทั้งหมดนี้เชื่อมกันจนกลายเป็นภาพเดียวที่เผย “ตรรกะป่วย” ของทั้งพรรคแบบเต็มตาสถานการณ์ปะทะไทย-กัมพูชาที่ลากยาวหลายวัน ไม่ใช่เสียงลอยมาตามข่าว แต่คือความจริงตรงหน้า คนหลายหมื่นต้องอพยพ โรงเรียนและโรงพยาบาลถูกสั่งหยุด ทหารไทย 5 นายเสียชีวิตในพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของเราเอง

ทุกเหตุการณ์เริ่มจากการยิงเข้ามาในเขตไทย นี่คือข้อเท็จจริงที่ทุกหน่วยงานความมั่นคงยืนยันตรงกัน ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีรัฐไหนในโลกจะเลือกนิ่งเฉยเพื่อ “รักษาภาพลักษณ์” เพราะภาพลักษณ์ไม่เคยกันกระสุนให้ประชาชนได้

การตอบโต้ของไทยเกิดขึ้นภายใต้หลักป้องกันตัว เพื่อหยุดความเสี่ยงที่ประชาชนแนวหน้าแบกรับอยู่ทุกวัน นี่คือภาระพื้นฐานของรัฐ และเป็นสิ่งที่ควรตั้งเป็น “จุดเริ่ม” ก่อนอธิบายทฤษฎีใด ๆ

ท่ามกลางความจริงทั้งหมดนี้ คำอธิบายจาก “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน กลับดูห่างไกลจากสถานการณ์จริงอย่างน่าประหลาด จนต้องตั้งคำถามว่า กำลังวิเคราะห์สถานการณ์…หรือกำลังวิเคราะห์ความคิดตัวเองกันแน่?

สิ่งที่เท้งเลือกไม่พูด ทั้งที่คนทั้งประเทศและใครก็ตามที่ติดตามสถานการณ์รู้อยู่เต็มอก คือไทย “เคยเจรจาแล้วสองครั้ง” ภายใต้บทบาทคนกลางของมาเลเซีย ครั้งแรกในรัฐบาลแพทองธาร และครั้งที่สองในรัฐบาลอนุทิน โดยทั้งสองรอบไทยยอมปรับเงื่อนไขหลายจุดเพื่อหยุดการใช้กำลัง

แต่ผลลัพธ์กลับเกิดซ้ำอย่างเป็นแบบแผน กัมพูชาไม่รักษาข้อตกลง และมีการยิงเข้าฝั่งไทยอีกครั้งในเวลาไม่นานหลังการเจรจา ทำให้ฝ่ายไทยไม่เคยมีช่วงไหนที่เรียกได้ว่า “ปลอดภัยจริง” เพราะทุกหน่วยงานตั้งแต่ระดับพื้นที่จนถึงส่วนกลางต้องเตรียมสภาพฉุกเฉินตลอดเวลา ไม่มีคืนใดที่ทุกคนเชื่อได้เต็มร้อยว่าจะไม่ถูกโจมตีอีก

นี่คือข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ไม่ใช่คำอธิบายบนกระดาษ ไม่ใช่ภาษาสวย ๆ ที่หยิบมาวางบนเวทีเสวนาให้ดูดีในเชิงทฤษฎี

แต่เท้งกลับเสนอให้ “กลับไปโต๊ะเจรจา” อีกครั้ง โดยไม่แตะต้องประวัติการผิดคำพูดของกัมพูชาแม้แต่น้อย ราวกับสองครั้งก่อนหน้าเป็นเพียงรายละเอียดข้างทางที่ไม่จำเป็นต้องจดจำ

การเสนอคำตอบเดิม ทั้งที่ผลลัพธ์พังเหมือนเดิมทุกครั้ง สะท้อนตรรกะที่บิดเบี้ยวจนแยกแยะความจริงไม่ได้ เพราะมันเลือกยึดเรื่องเล่าของตัวเองมากกว่าข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า และยังดันประเทศให้เดินซ้ำบนเส้นทางที่พิสูจน์แล้วชัดเจนว่า ไม่เคยพาเราออกจากปัญหาได้เลยแม้สักครั้งเดียว

เมื่อเท้งพูดว่า “การสู้รบกับกัมพูชาคือการเดินอ้อมปัญหา” ประโยคเดียวก็พอให้เห็นกรอบคิดทั้งชุด ว่าตีความสถานการณ์จากสิ่งที่อยากให้เป็น มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

หากการป้องกันตนเองในเขตไทยยังถูกมองว่าเป็นการเดินอ้อม ก็แทบไม่เหลือพื้นที่ให้รัฐไทยทำอะไรได้เลย นอกจากยืนรอให้อีกฝ่ายเป็นคนกำหนดจังหวะสถานการณ์ทั้งหมด ด้วยตรรกะแบบนั้น รัฐแทบไม่มีสิทธิ์ปกป้องอธิปไตยของตัวเองด้วยซ้ำ

ในความเป็นจริง การไม่ตอบโต้ต่างหากคือการเดินเข้าไปยืนกลางปัญหา แล้วปล่อยให้คนในพื้นที่เป็นฝ่ายรับเคราะห์ แต่ในคำอธิบายของเท้ง กลับตั้งคำถามกับไทยมากกว่าอีกฝ่ายรุกล้ำ ราวกับความกังวลสำคัญไม่ใช่ความปลอดภัยของคนไทย แต่เป็นเรื่องว่า “ไทยจะดูแรงเกินไปในสายตานานาชาติหรือไม่”

และจากท่าทีแบบนี้เอง จึงเกิดภาพคล้ายว่าไทยต้องเป็นฝ่าย “ขอโทษต่างประเทศก่อนเสมอ” ทุกครั้งที่ต้องป้องกันตนเอง?

อีกเรื่องที่เห็นชัดคือ แทบไม่เคยพูดถึงเลยว่า กัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างไร หรือไทยต้องรับแรงปะทะซ้ำแค่ไหน สิ่งที่ไม่ถูกพูดถึง ไม่ใช่รายละเอียดเล็ก ๆ แต่คือหัวใจของความจริงทั้งฉบับ

การเลือกไม่พูดถึงข้อมูลที่ทำให้เรื่องซับซ้อนขึ้น แล้วกลับโยนความรับผิดชอบให้ฝ่ายไทยว่า “ควรระวังมากกว่านี้” สะท้อนวิธีคิดที่พร้อมลดทอนความจริงให้บางเฉียบที่สุด เพื่อรักษาภาพว่าตัวเองยืนอยู่ฝั่งสันติภาพ โดยไม่ต้องแตะผลลัพธ์จริงที่คนไทยต้องเผชิญอยู่ต่อหน้าแม้แต่นิดเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้สะท้อนแค่ตัวเท้งคนเดียว แต่มาจากสายธารความคิดของทั้ง “ตระกูลพรรคส้ม” ตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ มาสู่ก้าวไกล และวันนี้คือพรรคประชาชน ซึ่งมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นทั้งผู้นำทางความคิด และเป็นจุดรวมศรัทธาทางอุดมการณ์ของพรรคนี้ทั้งหมด

ลักษณะคุ้นตาของกลุ่มนี้คือ เริ่มจากอุดมคติที่ใหญ่และสวยงามก่อนเสมอ พูดเรื่องสันติภาพ ประชาธิปไตย การเมืองใหม่ แล้วจึงพยายามดึงเหตุการณ์จริงให้เข้าไปอยู่ในกรอบนั้น แม้จะต้องตัดรายละเอียดที่ “ไม่เข้ากับเรื่องเล่า” ทิ้งระหว่างทางก็ตาม

พอใช้กรอบเดียวกันกับวิกฤตไทย–กัมพูชา จึงเกิดภาพแปลกประหลาดที่การป้องกันอธิปไตย ถูกเล่าเหมือนเป็น “ปัญหาภาพลักษณ์ของรัฐไทย” แทนที่จะเป็น “หน้าที่ของรัฐไทย” ที่ต้องทำโดยไม่ลังเล

รัฐไทยถูกลดเหลือเป็นเพียง ตัวละครที่ต้องทำตัวให้ดูดีบนเวทีระหว่างประเทศ ทั้งที่หน้าที่จริงคือยืนระวังปกป้องคนไทย ในวันที่กระสุนถูกยิงเข้ามาในพื้นที่ของประเทศตัวเอง

เมื่อขยับสายตาออกมาอีกนิด แล้วมองข้อเสนอในสนามการปกครองท้องถิ่น โดยเฉพาะโรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าฯทั่วประเทศของธนาธร จะเห็นว่ามันไม่ใช่ประเด็นที่แยกขาดจากเรื่องชายแดนเลย

เพราะทั้งหมดวางอยู่บน “โครงสร้างความคิดเดียวกัน” คืออุดมคติที่ถูกขยายให้ใหญ่กว่าข้อเท็จจริง พร้อมความเชื่อว่าปัญหาจะหาย ถ้าเล่าเรื่องให้สวยพอ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจะบอกตรงกันข้ามก็ตาม

บนเวทีสัมมนาที่เชียงใหม่ ธนาธรเล่าถึงวิสัยทัศน์การกระจายอำนาจ อธิบายภาพประเทศไทยที่ทุกจังหวัดมีผู้ว่าฯมาจากการเลือกตั้ง ท้องถิ่นเข้มแข็ง รัฐส่วนกลางทำงานเบาลง ทุกอย่างดูราบรื่นตามตำรา

แน่นอนว่า หลักการ “ให้ท้องถิ่นจัดการตัวเองมากขึ้น” เป็นแนวคิดที่ถกเถียงกันมานาน และมีด้านที่น่าคิดต่อ แต่ปัญหาของวิธีเล่าของธนาธร คือพูดราวกับโครงสร้างที่มีอยู่เป็นศูนย์ ราวกับท้องถิ่นไทยวันนี้มีพร้อมทุกอย่างแล้ว ขาดอย่างเดียวคือ “ยังไม่ได้เลือกผู้ว่าฯโดยตรง”

สิ่งที่หายไปจากคำบรรยาย คือประสบการณ์จริงเกือบสามทศวรรษของการกระจายอำนาจไทย ที่เต็มไปด้วยองค์กรท้องถิ่นที่ทำงานดีบ้าง ล้มเหลวบ้าง ถูกตรวจสอบไม่ผ่านบ้าง ชนกับตระกูลการเมืองท้องถิ่นบ้าง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ปรากฏในสไลด์ของธนาธรเลย

การผลักทุกปัญหาของประเทศไปผูกกับคำตอบเดียวว่า “ต้องเลือกตั้งผู้ว่าฯให้ครบทุกจังหวัด” ไม่ได้แปลว่ามีวิสัยทัศน์อะไรลึกซึ้ง แต่สะท้อนความคิดง่าย ๆ ว่าแค่เพิ่มการเลือกตั้งเข้าไปอีกหนึ่งรอบ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ทั้งที่ปัญหาส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ติดอยู่ที่ “ไม่มีการเลือกตั้ง” เลย แต่ติดอยู่ที่ศักยภาพ ระบบ และความพร้อมของพื้นที่ที่ต่างกันอย่างมาก

หากมองลงไปในรายละเอียด จะเห็นจุดอ่อนของโรดแมปนี้อย่างน้อยสามชั้น

ชั้นแรก มีความเชื่อว่า “เปลี่ยนวิธีได้อำนาจ=เปลี่ยนคุณภาพการบริหาร” ทั้งที่โครงสร้างปัญหาของหลายจังหวัดไม่ได้อยู่ที่ “ผู้ว่าฯมาจากส่วนกลาง” อย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ ทุนท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์เก่าแก่ ที่นั่งอยู่ในสภาท้องถิ่นและอบจ.มานาน ซึ่งการเลือกตั้งผู้ว่าฯเพิ่มอีกตำแหน่ง อาจยิ่งทำให้กลุ่มเดิมรวบอำนาจมากขึ้นด้วยซ้ำ

ชั้นที่สอง โรดแมปนี้แทบไม่ถามเลยว่า ท้องถิ่นจำนวนมากมีศักยภาพพอจะรับอำนาจเพิ่มจริงหรือไม่ ตั้งแต่บุคลากร งบประมาณ ระบบตรวจสอบ ไปจนถึงการวางแผนระยะยาว หลายพื้นที่ยังจัดการบริการพื้นฐานเรียบง่ายไม่ได้ แต่ข้อเสนอกลับเพิ่มอำนาจให้ชุดเดิม แล้วคาดหวังผลลัพธ์แบบประเทศพัฒนาแล้ว

ชั้นที่สาม ข้อเสนอเลือกตั้งผู้ว่าฯทั่วประเทศ ถูกเล่าในฐานะ “คำตอบของความเหลื่อมล้ำระหว่างกรุงเทพฯกับต่างจังหวัด” แต่ไม่เคยตอบคำถามตรง ๆ ว่าในระบบเลือกตั้งแบบไทย จังหวัดที่ทุนการเมืองเข้มข้น จะได้ผู้นำที่รับใช้ประชาชน หรือได้ผู้ว่าฯที่เป็นตัวแทนตระกูลเก่า ซึ่งย้ายจากหลังฉากมาอยู่หน้าฉากเท่านั้น

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อโต้แย้งว่าท้องถิ่นไม่ควรได้รับอำนาจเพิ่ม แต่คือคำถามต่อ “วิธีคิดแบบธนาธร” ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนรูปแบบเลือกตั้ง จะชดเชยปัญหาโครงสร้างที่สั่งสมมานานได้เอง

เมื่อนำกรอบคิดของธนาธรมาวางเทียบกับกรอบคิดของเท้ง ภาพหนึ่งที่เห็นชัดคือ พวกเขามีความเชื่อร่วมกันว่า ออกแบบบนกระดาษให้ดีพอ ทุกอย่างจะเดินตามแผน

ในวิกฤตชายแดน เท้งเลือกไม่สนใจประวัติการผิดข้อตกลงของกัมพูชา แล้วกลับไปยึดแบบ “เจรจาอีกครั้ง”

ขณะที่ในเรื่องการกระจายอำนาจ ธนาธรไม่แตะข้อเท็จจริงของระบบท้องถิ่นไทยในรอบหลายสิบปี แล้วกลับไปยึดแบบ “เลือกตั้งผู้ว่าฯให้หมด”

วิธีคิดแบบนี้มีจุดร่วมคือ ไม่เริ่มต้นจากโครงสร้างจริงของประเทศ ไม่เริ่มจากประสบการณ์ที่มีทั้งสำเร็จและล้มเหลว แต่มองทุกอย่างผ่านชุดความเชื่อของตัวเอง ว่าถ้าเดินตามแบบนี้ ประเทศจะเปลี่ยนทิศทันที

ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีจังหวัดที่มีศักยภาพสูง และจังหวัดที่ยังขาดทั้งคนและระบบ มีท้องถิ่นที่เป็นตัวอย่างที่ดี และท้องถิ่นที่ถูกตรวจสอบปัญหาแทบทุกปี แต่ในเรื่องเล่าของพรรคส้ม ความแตกต่างเหล่านี้กลับถูกเกลี่ยให้เรียบ จนเหมือนประเทศนี้เป็นพื้นที่เดียว ที่พร้อมจะรับแพ็กเกจ “เลือกตั้งผู้ว่าฯพร้อมกันทั่วประเทศ”

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ โรดแมปของธนาธร จึงไม่ได้เป็นแค่ข้อเสนอเรื่องโครงสร้างจังหวัด แต่เป็นภาพสะท้อนของวิธีคิดทั้งพรรค ที่เชื่ออุดมคติมากกว่าความจริง และพร้อมจะเดินตามแบบที่วาดไว้ แม้พื้นดินจะขรุขระเพียงใดก็ตาม

เมื่อสังเคราะห์ทั้งสองประเด็นเข้าด้วยกัน ตั้งแต่วิกฤตไทย-กัมพูชา จนถึงโรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าฯทั่วประเทศ จึงเห็นชัดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ถ้อยคำของใครคนหนึ่ง แต่คือกรอบคิดร่วมของพรรคส้มทั้งชุด

กรอบคิดที่มองการป้องกันอธิปไตยด้วยสายตาเรื่องภาพลักษณ์ กรอบคิดที่มองการจัดการท้องถิ่นด้วยภาพเมืองในฝัน และกรอบคิดที่เชื่อว่าปรับแบบบนกระดาษแล้ว โครงสร้างจริงจะเดินตามให้อัตโนมัติ

ในขณะที่ประเทศต้องรับมือสถานการณ์ที่มีทั้งการยิงจริง การตัดสินใจด้านความมั่นคงจริง และระบบท้องถิ่นที่มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน พรรคนี้กลับเลือกยืนบนพื้นของเรื่องเล่ามากกว่าจะยืนบนพื้นของข้อเท็จจริง

ในระยะสั้น คำพูดของเท้งอาจทำให้คนบางกลุ่มรู้สึกว่า มีคนยืนข้างในนามสันติภาพ คำพูดของธนาธรอาจทำให้หลายจังหวัดรู้สึกว่า ฝันของตนถูกหยิบมาวางไว้ตรงหน้า

แต่ในระยะยาว ประเทศที่ต้องรักษาอธิปไตย รักษาความต่อเนื่องของรัฐ และยกระดับท้องถิ่นจากฐานที่มีอยู่จริง ย่อมต้องการมากกว่าคำพูดที่สวยกว่าความจริง

และนี่คือเหตุผลว่า ทำไม “ตรรกะป่วยของพรรคส้ม” ตั้งแต่เหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ไปจนถึงข้อเสนอเลือกตั้งผู้ว่าฯจังหวัดทั่วประเทศ จึงไม่ใช่แค่เห็นต่างทางการเมือง แต่เป็นโครงสร้างความคิดที่กำลังพาประเทศเดินหลงทางทีละก้าว

เมื่ออุดมคติล้นจนบดบังข้อเท็จจริง เมื่อเรื่องเล่าถูกยกเหนือประสบการณ์จริงของประเทศ และเมื่อแบบจำลองในหัวถูกใช้แทนความเป็นจริงบนแผ่นดิน เส้นทางแบบนี้ไม่เคยพาไปสู่ความมั่นคงหรือพัฒนาได้เลย

สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า จึงไม่ใช่ประเทศที่ดีขึ้น แต่คือพรรคประชาชนที่กำลังเดินลึกเข้าไปในทางตันที่ตัวเองเป็นคนขุด และยิ่งก้าวก็ยิ่งจมลงทุกวัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญคาด 2 ปีได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ!

ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญยันหลักการปรับกลไกทำรัฐธรรมนูญ เพื่อปลดล็อกสู่ รธน.ฉบับใหม่ คาด 2 ปีเศษจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ

ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีบอก ปชน.ได้บริหารประเทศมีเลือกตั้งผู้ว่าฯ แน่

'ธนาธร' กางโรดแมปเลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ หาก 'ปชน.' ได้บริหารประเทศ ย้ำจุดยืน อยากให้บ้านเมืองพัฒนาจริง ต้องให้ท้องถิ่นจัดการตนเอง

กอ.รมน.ยกระดับเฝ้าระวัง 'โดรนสอดแนม-พลีชีพ' พื้นที่ 7 จังหวัด

พลตรี ธรรมนูญ ไม้สนธิ์ โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พลเอก ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เลขาธิการ กอ.รมน. ได้สั่งการให้ รอง