โชคดีประเทศไทยที่ ‘พิธา’ ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

คำพูดของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ระบุว่า “ถ้าวันนั้นพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้สถานการณ์จะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด” ถูกกล่าวขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังสู้รบ

ธนาธรเชื่อว่า หากพรรคของเขาได้จัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่แรก รัฐจะมีเวลาจัดการ ใช้กลไกต่าง ๆ คุมสถานการณ์ และไม่ปล่อยให้เรื่องลุกลามมาถึงวันนี้

แต่เมื่อฟังคำพูดนี้ให้ดี ประเด็นสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่ “ความตั้งใจ” แต่อยู่ที่มุมมองของผู้นำประเทศ ว่ามองเรื่องความมั่นคงแบบไหน

เพราะถ้าย้อนกลับไปดูแนวคิดของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในช่วงหาเสียง สิ่งที่เห็นชัด ไม่ใช่ภาพของการเตรียมรับมือกับปัญหา แต่คือความเชื่อว่า โลกสมัยใหม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งรุนแรงได้ โดยไม่ต้องพึ่งกองทัพในแบบเดิม

พิธาเคยพูดบนเวทีหาเสียงอย่างชัดเจนว่า ประเทศที่อยู่ใกล้กัน เคยทะเลาะกัน วันนี้ก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว หลายประเทศลดกองทัพลงได้ บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำ หากผู้นำฉลาดพอ

แนวคิดนี้ถูกนำเสนอในฐานะภาพของโลกที่ก้าวหน้า อาศัยกติกาสากลและระเบียบโลกเป็นหลัก พร้อมตั้งคำถามว่าประเทศเล็กอย่างไทย จำเป็นต้องใช้งบประมาณด้านกองทัพมากแค่ไหน

พิธาพูดชัดว่า ทหารมีไว้ทำไม และถ้ามีคนมารุกราน ก็ไม่เชื่อว่าจะรบชนะอยู่ดี

คำพูดแบบนี้ บางคนอาจมองว่าเป็นความกล้าคิด แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันสะท้อนความเชื่อว่า รัฐไม่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด เพราะเชื่อว่ามันอาจไม่เกิด หรือถ้าเกิดขึ้นจริง ก็ไม่มีทางรับมือได้อยู่ดี

แนวคิดเรื่องการลดบทบาทกองทัพ ไม่ใช่เพียงการตั้งคำถามเชิงนโยบาย แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงท่าทีของรัฐในอนาคต

เมื่อผู้นำประเทศพูดถึงกองทัพในฐานะภาระ หรือสิ่งที่อาจไม่จำเป็น ย่อมสะท้อนวิธีคิดว่า ความมั่นคงไม่ใช่แกนกลางของการบริหารประเทศ

ในโลกที่ความขัดแย้งยังเกิดขึ้นจริง ท่าทีเช่นนี้ไม่ได้ถูกฟังเฉพาะในประเทศ แต่ถูกจับตาจากภายนอกด้วย

ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่มีประวัติความขัดแย้งกันมา ย่อมประเมินจากคำพูดและท่าทีของผู้นำ ว่ารัฐนั้นพร้อมแค่ไหนและจะตอบสนองอย่างไรหากเกิดปัญหา

การเมืองระหว่างประเทศ ไม่ได้ตัดสินกันด้วยคำอธิบายเพียงอย่างเดียว แต่ตัดสินกันจากสิ่งที่อีกฝ่ายเชื่อว่า คุณจะทำจริงหรือไม่

พิธายังเคยยกตัวอย่างการปะทะทางทะเลในยุคใหม่ โดยบอกว่าไม่ใช่การรบด้วยเรือดำน้ำ แต่เป็นการใช้เรือประมง พร้อมอ้างถึงกรณีเวียดนามกับจีน

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ตัวอย่างนั้นถูกหรือผิด แต่อยู่ที่การนำเหตุการณ์บางส่วน มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งหมด

เวียดนามไม่ได้ทำให้รัฐอ่อนแอลง จีนก็ไม่ได้ลดการแสดงอำนาจ ทั้งสองประเทศยังคงใช้กำลังเป็นฐานสำคัญในการต่อรอง ควบคู่ไปกับการทูตและการเจรจา

สิ่งนี้แตกต่างจากแนวคิด ที่พยายามทำให้กองทัพดูเป็นเรื่องล้าสมัย หรือเป็นสิ่งที่สามารถตัดออกจากสมการความมั่นคงได้

เมื่อผู้นำประเทศมองความมั่นคงในแบบนี้ ผลที่ตามมาคือการลดน้ำหนักของการป้องกันประเทศ และลดความสำคัญของกลไกที่รัฐใช้รักษาผลประโยชน์ของตัวเอง

เมื่อมองกลับมาที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่เป็นการประเมินกันไปมาว่า ฝ่ายไหนพร้อมแค่ไหนและจะตอบสนองอย่างไร

รัฐที่แสดงท่าทีไม่ชัด หรือส่งสัญญาณว่าไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศ มักถูกจับตาเป็นพิเศษในเกมการเมืองระหว่างประเทศ

ในภูมิภาคนี้ ความสัมพันธ์ไม่ได้เดินหน้าด้วยถ้อยคำสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เดินด้วยการคำนวณว่า ใครได้มาก ใครเสียเปรียบ

ถ้าผู้นำประเทศเชื่อว่า ทุกอย่างแก้ได้ด้วยกติกาสากล คำถามสำคัญคือ เมื่ออีกฝ่ายไม่ยึดกติกานั้น ไทยจะยืนอยู่ตรงไหน?

เมื่อธนาธรบอกว่า ถ้าพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์จะไม่มาถึงวันนี้ คำถามจึงย้อนกลับไปที่คำพูดของพิธาเอง

รัฐบาลที่ตั้งคำถามกับบทบาทกองทัพ จะใช้อะไรเป็นแรงค้ำ รัฐบาลที่ไม่เชื่อว่าประเทศสามารถป้องกันตัวเองได้ จะใช้จุดไหนเป็นอำนาจต่อรอง

การเจรจาที่ไม่มีพลังหนุนหลัง มักจบลงด้วยการยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายที่แข็งกว่า

โดยเฉพาะในกรณีของกัมพูชา ซึ่ง ฮุน เซน แสดงบทบาททางการเมืองอย่างชัดเจนมาโดยตลอด การอ่านสถานการณ์พลาดเพียงครั้งเดียว อาจส่งผลยาวไกลต่อสถานะของไทยในภูมิภาค

ถ้าพิธาได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริงประเทศไทยอาจไม่ได้เจอสถานการณ์ที่เบากว่านี้ แต่อาจต้องเผชิญแรงกดดันมากกว่าเดิม ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งต้องการการตัดสินใจที่ชัดเจน

ไม่ใช่เพราะตัวบุคคล แต่เพราะแนวคิดที่เชื่อว่า การป้องกันประเทศไม่ใช่เรื่องจำเป็นในโลกปัจจุบัน และความขัดแย้งสามารถจัดการได้ด้วยถ้อยคำและกติกา

ในโลกจริงที่อำนาจยังเป็นตัวกำหนดทิศทาง แนวคิดเช่นนั้นคือความเสี่ยงของรัฐ โดยเฉพาะกับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคซึ่งเต็มไปด้วยบทเรียนจากความขัดแย้ง

โชคดีที่วันนั้น พิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพราะใครแพ้หรือใครชนะ แต่เพราะประเทศไทยไม่ต้องนำความมั่นคงของชาติ ไปผูกไว้กับแนวคิดที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์

โชคดีประเทศไทย ที่ความมั่นคงไม่ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ทดลอง และอธิปไตยยังไม่ต้องจ่ายราคาให้กับความเชื่อที่พูดง่ายกว่าทำจริง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชำแหละปิกนิกขอโทษประชาชน ขอเป็น ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ ขอมากไปไหม

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์ปิกนิกขอโทษประชาชนของพรรคประชาชน กรณีแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ตั้งคำถามความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมกั

ดุสิตโพลชี้ประชาชนมองภาพการเมืองไทยแย่ลง

“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “การเมืองไทยในปี 2568” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,194 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 9-12 ธันวาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองภาพรวมการเมืองไทยตลอดปี 2568 แย่ลง

ชาวเน็ตแซะแรง ‘พรรคส้ม’ จัดเวทีขอโทษประชาชน แต่คนไม่มาฟังคำขอโทษ

โซเชียลแชร์ภาพมุมกว้างกิจกรรมปิกนิกของพรรคประชาชนที่ มศว ประสานมิตร พร้อมข้อความวิจารณ์แรง ตั้งคำถามจัดเวทีขอโทษประชาชน แต่บรรยากาศไม่คึกคักอย่างที่คาด

‘โกศล’ เตือนศึกเลือกตั้งโคราชเดือด แฉนักการเมืองใหญ่เล่นเกมใต้ดิน

นายโกศล ปัทมะ อดีตสส.นครราชสีมา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาหลังจากมีการยุบสภาฯ ว่า ขณะนี้การเมืองในพื้นที่เริ่มมีความดุเดือด เนื่องจากนักการเมืองต้อ

พรรคส้มคึกคัก ถ่ายเลือดใหม่! รับเลือกตั้ง’69

พรรคส้มถ่ายเลือดครั้งใหญ่ หน้าเก่าโบกมือลา-ไม่ผ่านการคัดเลือก สาย 112 ขอพักก่อน ขณะที่นักวิชาการส้ม "อนุสรณ์ ธรรมใจ" เตรียมสมัครเป็น สส.เขตตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา "ธนาธร"

ดราม่ามาเต็ม ‘ธนาธร’ ประกาศขอโทษประชาชนด้วยตัวเอง ที่พรรคส้มทำให้ผิดหวัง

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เผยจะนำอดีตหัวหน้าพรรคทุกคน ไปขอโทษประชาชนต่อหน้า หลังพรรคประชาชนเชิญร่วมกิจกรรม “พรรคประชาชนพบประชาชน” เปิดพื้นที่รับฟังทุกความเห็น