ว่าด้วยการ...ออกจากวัตถุนิยม


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        เทศนาวันอาทิตย์วันนี้...คงต้องขออนุญาตไปนำเอา ปณิธาน 3 ประการ ที่อภิมหาพระ อย่างท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่านเอ่ยปากฝากไว้แก่อนุชนคนรุ่นหลัง มาตั้งแต่เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ให้ร่วมกันหาทางสืบสานปณิธานที่ว่าให้เป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่งให้จงได้ ดังนั้น...ในฐานะที่อันตัวข้าพเจ้าเอง ชักเริ่มออกอาการเป็น ทาส ของ ท่านพุทธทาส หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้อ่าน ได้ศึกษา ผลงานการเขียน การเทศนาของท่าน สืบต่อเนื่องกันมาเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ เลยอดไม่ได้ที่จะหยิบเอาปณิธานที่ว่า มารื้อฟื้น ทบทวน กันอีกรอบหนึ่ง...

(2)

        ปณิธานที่ว่านั้น...มีทั้งว่าด้วยเรื่อง การเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน เรื่อง การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ซึ่งออกจะเป็นเรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงกว่าปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังคงต้องเกิดมาเป็น สุธีสามสี่ห้าร้อยชาติ ถึงจะพอยกระดับขีดความสามารถให้รอบรู้ แตกฉาน ในเรื่องราวเหล่านี้ได้บ้าง แต่สำหรับปณิธานข้อที่ 3 คือข้อที่ว่าด้วยเรื่อง การออกมาเสียจากอำนาจวัตถุนิยม อันนี้...อาจพออาศัย ความรู้รอบโต๊ะ ได้มั่ง และน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญเอามากๆ ในทัศนะของ ท่านพุทธทาส ซึ่งทำให้ท่านถึงกับพยายามอธิบายต่อท้ายเอาไว้ประมาณว่า...วัตถุนิยมนั้น เป็นความรู้ที่ขาดสติ-ปัญญา นำพาผู้คนให้ตกเป็นทาสตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย ต่างไปจากความรู้ที่มุ่งไปสู่การศึกษาเพื่อให้วัตถุเป็นเพียงแต่สิ่งที่รับใช้จิต ให้จิตอยู่เหนืออำนาจใดๆ อันจะนำมาซึ่ง ความสุขที่แท้จริง หรือ ความสุขที่อยู่เหนือวัตถุ รวมทั้งย้ำไว้ด้วยว่า...ถ้าหากปณิธานข้อนี้สำเร็จลงไปเมื่อใด โลกก็จะเป็นนครอมตมหานิพพาน ถึงขั้นนั้น!!!

(3)

        คือเรื่องของ ความรู้แบบวัตถุนิยม นั้น...ถ้าหากว่ากันตามแบบฉบับฆราวาส หรือตามรากฐานความเป็นมาทาง ประวัติศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปบวชพระ จบเปรียญ 8 เปรียญ 9 ก่อนจะยกระดับขีดความสามารถไปถึงขั้น อมเงินวัด หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้...หรือความรู้ทำนองนี้ มันก็มีความเก่าๆ แก่ๆ อยู่ไม่น้อย แม้จะเชื่อๆ กันว่า...นับตั้งแต่มนุษย์รายแรกลุกขึ้นมายืน 2 ขา ความเชื่อในเรื่อง จิต น่าจะมีมาแล้วก่อนหน้านั้น ถึงได้ทำให้มนุษย์ โฮโม ซาเปียน (Homo Sapiens) รุ่นแรกๆ ก่อนหน้าบรรพบุรุษรายแรกของมนุษย์เรา คือมนุษย์ที่เรียกๆ กันว่าพวก นีแอนเดอร์ธัล (Homo Sapiens Neanderthals) ที่ถูกขุดค้นพบโดยนักประวัติศาสตร์โบราณคดี ตามหลุมฝังศพแต่ละหลุม ไม่ว่าที่เมือง Le Moustier ในฝรั่งเศส ที่ถ้ำ Chapelle-aux-Saint ในอุซเบกิสถาน ที่ Shanidar ในประเทศอิรัก ฯลฯ ต่างถูกฝังเอาไว้ในสภาพที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเชื่อในเรื่องจิต ซึ่งยังคงฝังลึกอยู่ในสัญชาตญาณมนุษย์ หรือในความรับรู้ของมนุษย์ มาโดยตลอด...

(4)

        แต่เมื่อครั้น ความรู้ มันมากเข้าๆ ไปพร้อมๆ กับ การเจริญเติบโตทางวัตถุ การหันไปให้ความสำคัญกับ วัตถุ แล้วหันมาตั้งคำถามกับ ความเชื่อในเรื่องจิต มันจึงเริ่มก่อรูป ก่อร่าง ขึ้นมาตั้งแต่ยุคที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรา ยังไม่ได้ทรงอุบัติขึ้นมาบนโลกเอาเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเรามีโอกาสศึกษา ค้นคว้า ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศอินตะระเดีย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ด้านความเชื่อ ด้านศาสนา ปรัชญา ก็คงมีโอกาสได้เจอกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานกันในนามพวก จารวาก หรือพวกที่ยึดมั่น ถือมั่น อยู่ในแนวคิดที่เรียกกันว่า ลัทธินัตถิกทิษฐิ (Nihilism) ที่คิดๆ เอาเองว่า สิ่งที่เรียกว่า จิต นั้น ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญมากมาย เป็นเพียงแค่ ผลพวง ของวัตถุ หรือของ ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ที่มารวมตัวกันโดยบังเอิญ เหมือนกับการผสมผสานของ หมาก-พลู-ปูน ที่ไม่เคยมี ความแดง มาก่อนเลย แต่เมื่อเอามาขยำขยี้ เอามาเคี้ยวจนได้ที่ ความแดงของน้ำหมาก จึงอุบัติขึ้นมาด้วยประการฉะนี้...

(5)

        ภายใต้ความเชื่อ หรือ ความรู้ที่ขาดสติ-ปัญญา ในทำนองนี้...จึงทำให้แนวคิดในเรื่อง ตายแล้วสูญ ไม่มีโลกนี้-โลกหน้า ไม่มีนรก-สวรรค์ ไม่มีบุญ-มีบาป มนุษย์รายใดที่ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากการรวมตัวของ ธาตุ หรือ สสาร ทั้ง 4 เมื่อแตกสลาย ตายลงไป สิ่งที่เรียกว่า จิต หรือ ชีพ ย่อมต้องสูญสลายตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้...ก็เลยไม่ต้องสนใจในเรื่องความดี-ความชั่ว ความถูก-ความผิด อะไรกันมากมาย สู้หันมาให้ความสนใจกับการแสวงหา ความสุข หรือ ความพึงพอใจ (pleasure) ไปตามสภาพ หรือ ความสุขในชีวิตเกิดจากการแสวงหาเอาเอง ไม่ใช่เกิดเพราะอำนาจใดๆ บันดาลให้ จึงไม่ควรอ้อนวอนพระเจ้า ไม่ควรทำพิธีทางศาสนา แต่จงกิน จงดื่ม จงรื่นเริงด้วยทรัพย์สมบัติที่พึงหาได้นั้นเถิด อย่าคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีเหมือนวันนี้ ผู้ใดแสวงหาความสุข ความรื่นเริงในวันนี้ได้มากที่สุด ผู้นั้น...ได้ชื่อว่าผู้ปฏิบัติถูกต้อง หรือผู้มีสัมมาปฏิบัติแล้ว นั่นแล...

(6)

        พูดง่ายๆ ก็คือ...ให้หันมา กิน-ขี้-ปี้-นอน กันแบบสุดฤทธิ์ สุดเดช ไม่ต่างอะไรไปจากผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ สมัยนี้ นั่นเอง แต่ทั้งๆ ที่วิสัยทัศน์ ปรีชาญาณ ของพวก จารวาก จะทันสมัยสุดขีด ไม่ต่างอะไรไปจากผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ ก็เลยต้องหันมาตั้งคำถามว่า...เหตุใดมันถึงไม่ระเบิดเถิดเทิง ก่อให้เกิดการตอบรับ ยอมรับ เท่ากับยุคนี้ สมัยนี้ได้เลย กลับถูกศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ที่ยึดมั่นต่อ ความเชื่อในเรื่องจิต ขจัดกวาดล้างออกไปจากสังคมอินเดีย ชนิดหายเกลี้ยงแทบไม่เหลือซาก กลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์เอาง่ายๆ กว่าที่จะกลับมามีฤทธิ์ มีเดช ในยุคนี้ ต้องใช้เวลาอีกนับเป็นพันๆ ปี อันนี้...คงต้องรอเอาไว้อาทิตย์หน้า ค่อยมา เทศน์ กันต่อ เอาให้เป็น มินิซีรีส์ กันไปเลย อย่างน้อย...ก็น่าจะได้ประโยชน์ยิ่งกว่าการเสียเวลาไปเถียงกันเรื่อง บิ๊กตู่ล้มเหลว-หรือไม่ล้มเหลว ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"