ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด!!!


เพิ่มเพื่อน    

                                                                                         

                                                                                                  (1)

            เหนื่อยเกินกว่าที่จะไปค้นในกูก้ง กูเกิล หรือที่ไหนๆ...แต่ก็พอจำได้เลาๆ ว่า ดูเหมือนว่าอภิมหานักปราชญ์ชาวกรีก อย่างประเภท เพลโต หรือ โสเกรตีส อะไรทำนองนั้น ท่านเคยสรุปเอาไว้ประมาณว่า...ยิ่งท่านรู้อะไรมากขึ้นๆๆๆ ยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งรู้สึกว่าท่าน  ไม่รู้ ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น!!!

                                                                                                          (2)

            และมันก็น่าจะ จริง อย่างที่ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละ...อะไรที่มันทำให้รู้ๆ ยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ รู้ถึงขั้นสามารถเหาะเหินเดินอากาศดำลงไปใต้น้ำลึกๆ ได้เป็นวันๆ เดือนๆ แล่นไปตามถนนหาทางย่นระยะเวลาการเดินทางจากที่เคยเป็นชั่วโมงๆ เดือนๆ ปีๆ เหลือแค่ไม่กี่นาที  ไม่กี่ชั่วโมง ไปจนถึงข้ามฟ้า ข้ามอวกาศ ไป เหยียบ ดวงจันทร์ที่ลอยเท้งเต้งมาไม่รู้กี่ร้อย กี่พันล้านปี เคยเป็นที่กราบไหว้ของโคตรเหง้าเหล่าตระกูลต่างๆ มาโดยตลอด ก็ยังเป็นไปได้ในตราบเท่าทุกวันนี้ ฯลฯ แต่ยิ่งรู้ๆ ไปถึงขั้นนี้กลับดันไม่รู้ว่า...จะหาทางทำให้ ความทุกข์ ที่ประเดประดังอยู่ในอารมณ์-ความรู้สึก ในจิตใจใครต่อใคร พอจะทุเลาเบาบางลงไปได้มั่ง ในแบบไหน อย่างไร กลับมีแต่จะยิ่งทุกข์เพิ่ม ทุกข์หนัก ทุกข์ร้อยแปด ฯลฯ ยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้น...

                                                                                                                      (3)

            คือยิ่งรู้-ยิ่งทุกข์...และยิ่งไม่รู้ว่าจะหาทางขจัดทุกข์  บรรเทาทุกข์ ให้ลด-น้อย-ถอยลงไปด้วยวิธีไหน???  หรือยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า ไม่รู้ มากยิ่งๆ ขึ้นไปนั่นเอง จนอาจหนีไม่พ้นต้องหันมาปรับเปลี่ยน กรรมวิธี ตลอดไปจน เป้าหมาย และ องค์ประกอบ ในการแสวงหาความรู้ คือแทนที่จะพยายามขวนขวาย ศึกษา ค้นคว้า หาความรู้ในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับตัวของตัวเองมากมายซักเท่าไหร่นัก อาจต้องเริ่มต้นด้วยการหันมามองตัวเอง ค้นคว้าและศึกษาให้ลึกลงไปภายใน ตัวตน-ของตน ซะก่อนเป็นอันดับแรก หรืออาจต้องลองหันไปเชื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคยตรัสๆ เอาไว้ประมาณว่า โลกทั้งโลก หรือ จักรวาลทั้งจักรวาล ต่างอยู่ภายใน ตัวตน-ของตน อยู่แล้ว...นั่นแล...

                                                                                                                     (4)

            ซึ่งการแสวงหา ค้นคว้า ตามกรรมวิธี-เป้าหมาย-และองค์ประกอบที่ว่านี้...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรื่องที่จะสามารถปอกกล้วยเข้าปากกันได้ซักเท่าไหร่นัก ต่างไปจากการนั่งจิ้ม-นั่งทิ่มอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การค้นคว้าตำรับ ตำรา ที่กองพะเนินสุมเป็นภูเขาเลากา หรือแม้แต่การเดินทางบุกป่า-ฝ่าดง-ขึ้นเขา-ลงห้วย ของพวกนักสำรวจ นักวิจัย อย่างบรรดาฝรั่งทั้งหลาย ฯลฯลฯ แบบคนละเรื่อง-ละม้วน แต่อาจหนักไปทางประเภท โยคีอินตะระเดีย อะไรทำนองนั้น คือต้องหันมาลด-ละ-เลิก ว่างและปล่อยวางไปจากทุกสิ่งทุกอย่าง  เพื่อที่จะทำให้ ตัวตน-ของตน กลายสภาพเป็นบางสิ่ง-บางอย่าง ที่สามารถนำไปสู่การค้นคว้าและค้นหา ได้แบบจริงๆ จังๆ...

                                                                                                                                 (5)

            อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้อะไรต่อมิอะไรออกจะ ยากซ์ซ์ซ์ ซะแต่แรก คือแค่คิดถึงการตัดสินใจ สละราชสมบัติ ไม่สนใจที่จะคิดถึงความสะดวก-สบายใดๆ ใน ปราสาท 3 ฤดู หรือแม้แต่ความอาลัย-อาวรณ์ต่อพระมเหสี-พระโอรส ฯลฯ อย่างที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง แค่นี้...ก็ตายแล้ว!!!  โอกาสที่จะลด-ละ-เลิก โอกาสที่จะ ว่าง จะ ปล่อยวาง จากสิ่งเหล่านี้ คงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะสำหรับบรรดาปุถุชนธรรมดาๆ อย่างเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย  ที่แม้มี ทองเท่าหนวดกุ้ง เท่านั้น ยังนอนสะดุ้งกันไปเป็น  3 บ้าน 8 บ้าน หรือแค่เป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสิบโท สิบตรี  ไม่ถึงกับต้องเป็นอธิบดง อธิบดี เป็นรัฐมนตรง รัฐมนตรี  เป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรคใดๆ ก็แล้วแต่ ฯลฯ  โอกาสที่จะสละเสียซึ่ง พันธะ เหล่านี้ ย่อมเป็นอะไรที่ยากแสนยาก ยิ่งกว่าการตามหาหนวดเต่า-เขากระต่าย ไม่รู้กี่สิบ-กี่ร้อยเท่า...

                                                                                                                                 (6)

            ด้วยเหตุนี้นี่เอง...โอกาสที่จะ รู้ ในสิ่งที่ควรรู้ รู้ในแบบที่ รู้แจ้ง แบบที่ทำให้เกิดอาการ ตื่น ไปจากสิ่งที่  ไม่รู้ หรือรู้ในแบบที่อภิมหาพระ อย่างหลวงพ่อ พุทธทาส ท่านเรียกว่า Intellect ไม่ใช่ Knowledge มันถึงจะอุบัติขึ้นมาภายใน ตัวตน-ของตน กันได้จริงๆ หรือทำให้การค้นคว้า ค้นหาใดๆ ก็ตาม สามารถนำไปสู่ความ ดับทุกข์ ดับความ ไม่รู้ ในทุกสิ่งทุกอย่างได้มอดสนิท ได้แบบสิ้นเชิง จนสามารถนำไปสู่ความไม่เกิด-ไม่ตาย-ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอมตะนิรันดร์กาล เป็นอะไรที่สว่าง-สะอาด-และสงบเย็นเป็นอย่างยิ่ง ฯลฯ อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องยอมรับว่า ออกจะ ยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย ยากซ์ซ์ซ์ชนิดแม้จะ เกิดเป็นสุธีสาม-สี่ชาติ ก็ยังหนีไม่พ้นต้องกลับมาเกิดแล้ว-เกิดอีก กลับมาเป็น บิ๊กตู่ บิ๊กป้อม บิ๊กป๊อก เป็น ธรรมนัส ไปจนอาจหนักหนาสาหัสถึงขึ้นต้องเป็น โทนี่-โทนาฟ ฯลฯ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                                                                                                 (7)

            ด้วยเหตุนี้...เอาเป็นว่า ถึงแม้จะยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย แต่ความพยายามขวนขวายหา ความรู้ ในสิ่งที่พึงรู้ ติดปลายนวมเอาไว้มั่ง เผื่ออาจพอช่วยให้เกิดการลดทุกข์ บรรเทาทุกข์ได้บ้าง ไม่ว่าตัวเองจะรู้มาก รู้ทุกเรื่อง รู้แล้ว-รู้อีก ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องหรือไม่พึงที่จะรู้เพียงใดก็ตาม หันไปแสวงหาความรู้ภายใน ตัวตน-ของตน ให้มากๆ เข้าไว้ หรือให้พอเกิดข้อสรุปได้บ้างว่าสำหรับคนเรานั้น...คง  เป็น ได้แค่ 3 อย่างไม่เกินนั้น คือ 1.เป็นอย่างที่เราต้องการจะเป็น 2.เป็นอย่างที่ผู้อื่นเห็นว่าเราเป็น และ 3.เป็นอย่างที่เราเป็น เพียงเท่านี้...ไม่เพียงแต่ ตัวตน-ของตน อาจพอโล่งๆ ได้บ้าง ยังอาจช่วยให้ไม่ต้องถึงกับไป  เบียดเบียน ผู้อื่น ไม่ต้องถึงกับไปทำร้าย ทำลายใครต่อใคร ให้ต้อง ทุกข์ กันไปทั้งประเทศ หรือทั้งโลก เอาเลยก็ว่าได้...

                                                                    --------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"