กินของขม-ชมเด็กสาว-เล่าความหลัง???


เพิ่มเพื่อน    

                                                                                                                                                   

                                                                                                                                                    (1)

            ใครก็ไม่รู้???...ที่สรุปอาการของบรรดาคนแก่ คนชรา โดยทั่วไป เอาไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ ประมาณ 3 ประโยค ว่ามักออกไปในแนว กินของขม หนึ่ง ชมเด็กสาว หนึ่ง และ เล่าความหลัง อีกหนึ่ง ซึ่งถ้าลองหยิบมาใคร่ครวญ พินิจพิจารณา กับตัวเองที่น่าจะแก่มานานแล้ว ชรามานานแล้ว ก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน ว่าจะเป็นไปในแนวที่ว่าหรือไม่? ประการใด?

                                                                                                                                                            (2)

            คือในแง่ของการ กินของขม นั้น...อาจพอมีอยู่มั่งนี้ดๆ โหน่ยๆ ประเภท กาแฟดำ ที่อาจเพิ่มความขมขึ้นมากว่าช่วงหนุ่มๆ สาวๆ อยู่ตามสมควร หรือต้องประมาณกาแฟ 3 น้ำตาล 4 เต็มช้อนชาพูนๆ เพิ่มรสขมไปพร้อมๆ กับผสมรสหวาน ถึงพอจะเป็นอะไรที่กลมกลืนไปกับปาก กับลิ้น ของคนแก่ ชนิดไม่ถึงกับต้อง ขมปรี๊ด โดยไม่มี หวานๆ แซมมาเลยแม้แต่น้อย หรือยังต้องหวานๆ-ขมๆ นั่นแหละถึงจะเข้าท่า ยิ่งหวานๆ-ขมๆ แบบ ส้มจี๊ด ที่มี เปรี้ยว นี้ดๆ เสริมมาด้วยอีกซักหน่อย อันนี้นี่แหละ...สามารถรับประทานได้เป็นกิโลๆ กลายเป็นอาหารหลัก อาหารว่าง ที่แทบขาดไม่ได้เอาเลย...

                                                                                                                                                (3)

            ส่วนประเภท ชมเด็กสาว หรือหันไปสรรเสริญ เยินยอ โนมเนื้อ โหนกหนั่น ความอวบ ความอูมฟูม ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ก็ยังไม่ถึงกับ ไปไกล ถึงขั้นนั้น แค่หันไปดูผ่านๆ แล้วเก็บมานึก มาคิด กันเอาเอง ไม่ถึงขนาดต้องหยิบไปพูด ไปจาให้ต้อง กระด๊าก...ปาก ไม่ว่าจะในหมู่เพื่อนๆ ฝูงๆ หรือผู้ใกล้ชิด สนิทสนมใดๆ ก็ตาม อันเนื่องมาจากด้วย วัย ที่ผิดแผก แตกต่าง ไปคนละเรื่อง คนละม้วน การหันไปมอง หรือหันไปชมใดๆ ก็แล้วแต่ มันคงต้องหาทางบันยะบันยังเอาไว้มั่ง ยิ่งประเภท เด็กสาว ตัวเป็นๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องพยายามไม่มอง ไม่ชม หันไปก้มหน้า ก้มตา แบบที่ หลวงพ่อพุทธทาสฯ ท่านแนะนำเอาไว้น่าจะเหมาะกว่า อย่างน้อย...ก็พอช่วยให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นลูก เป็นหลาน อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าซะยิ่งกว่าความรู้สึกอื่นๆ ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า...

                                                                                                                                                (4)

            ส่วนลักษณะอาการที่ออกไปทาง เล่าความหลัง หรือหยิบเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้ ที่ผ่านเลยไปแล้ว มาพูดแล้ว พูดอีก ไม่ว่ากับลูกๆ หลานๆ กับผู้ใกล้ชิดสนิทสนม หรือกับใครหน้าไหนก็แล้วแต่ ด้วยความภูมิอก-ภูมิใจ ความกระหยิ่ม ยิ้มย่อง หรือด้วยความโศรกเศร้า สะเทือนใจ ฯลฯ อันนี้...ก็ยังไม่ถึง ขั้นนั้น อีกนั่นแหละ อาจด้วยเหตุเพราะไม่รู้จะหันไปพูดกับใคร??? หรือไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟังดี ภายใต้สภาพแห่งการ ปลีกวิเวก การหันมาปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง หรือถึงจะมีช่อง มีรู ให้พอ ระบาย สิ่งต่างๆ ที่เคยผ่านมา-ผ่านไปได้บ้าง แต่ถ้ามันไม่ได้ก่อให้เกิด ประโยชน์ โพดผลใดๆ เพียงแค่ได้ เอามันซ์ซ์ซ์ ไปตามเรื่อง ตามราว ตามความรู้สึก หรือตาม รสนิยม ของตัวเอง มันก็แค่...งั้นๆ เท่านั้นเอง!!!

                                                                                                                                                (5)

            ยิ่งในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่ง...คงต้องยอมรับว่า มันมีอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย ที่ทำให้อยาก ลืม หรือไม่อยากจะนำมาขบคิดอีกต่อไป แม้แต่บางเรื่อง บางราว ที่อยาก จำ เอาไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ว่าด้วยความภาคภูมิใจ หรือความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ซึ่งเคยผ่านผันเข้ามาสู่ตัวเองเมื่อครั้งอดีต แต่สุดท้าย...ถ้ามองให้ลึกๆ แล้ว มันก็แค่ พรรค์นั้นเอง หรือมันเป็น พรรค์นั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรที่สูงส่ง วิเศษวิเสโส กว่าใครอื่น อย่างอื่น ทุกสิ่งทุกอย่าง...ล้วนอุบัติขึ้นมาตามแบบฉบับ... ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง...

                                                                                                                                                (6)

            แรงกระตุ้น แรงจูงใจ ที่จะหยิบเอาเรื่องนั้น เรื่องนี้ มาเล่าโน่น เล่านี่ ฟุ้งระบาย พ่นกระจาย ถึงบรรดา ความหลัง เมื่อครั้งแต่ก่อนเก่า มันเลยออกจะหายไปเอาดื้อๆ โดยเฉพาะถ้าหากมันไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ โพดผล สำหรับใครต่อใครที่จะนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง เป็น แนวทาง ใดๆ ได้ถนัดชัดเจนมากมายซักเท่าไหร่นัก ยิ่งถ้าหันไปมอง หันไปอ่านตำรา ประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่มวลมนุษยชาติได้อุบัติขึ้นมาในโลกใบนี้ อะไรก็ตาม...ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ภายใต้ประสบการณ์ของตัวเอง มันแทบไม่ต่างอะไรไปจาก หยดน้ำ หยดเล็กๆ ที่เทียบไม่ได้เอาเลยกับ มหาสมุทรแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งล้อมรอบโลกทั้งโลกเอาไว้ตราบจนบัดนี้...

                                                                                                                                                (7)

            ความพยายามหาทาง ลืมๆ สิ่งที่เคยผ่านมาแล้วผ่านไป...โดยเฉพาะสิ่งที่อาจส่งผลให้ต้องจมอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกในทางร้ายๆ สามารถส่งแรงกระตุ้นให้เกิดความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ริษยาและชิงชัง ทั้งๆ ที่แก่แล้ว ชราแล้ว ทั้งๆ ที่ใกล้แง้มฝาโลงเต็มที จึงออกจะเป็น ของแสลง ต่อคนแก่ คนชรา เอามากๆ แม้แต่ความพยายาม จำ ในสิ่งที่เคยทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ เกรียงไกร มาในอดีตก็เถอะ ความรัก ความหลงใหล ความหมกมุ่น อาลัย-อาวรณ์ต่อสิ่งนั้นๆ ฯลฯ สุดท้าย...ก็มีแต่ทำให้ต้อง ผูกติด ยึดโยงอยู่กับสิ่งใด-สิ่งหนึ่ง ชนิดอาจต้องกลับมา เกิดใหม่ หรือ เกิดเป็นสุธีสาม-สี่ชาติ กันอีกจนได้ อันเป็นอะไรที่ซ้ำๆ ซากๆ น่าเบื่อ น่าหน่าย เสียเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะ 6 ตุลา 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันก็แค่ ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป นั่นแล...

                                                              ----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"