ระหว่าง 'ความรัก' กับ 'ความเกลียด'


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                                                                                        (1)

            การทำให้คน เกลียด กันนั้น...คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ออกจะเป็นอะไรที่ ง่าย ซะยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า แต่สำหรับการหาทางทำให้ใครต่อใครหันมา รัก กันเข้าไว้นี่สิ!!! อันนี้นี่แหละ...ยากซ์ซ์ซ์ซะยิ่งกว่าการตามหา หนวดเต่า-เขากระต่าย ประมาณห้าล้านเท่าเอาเลยก็ไม่แน่...

                                                                                                                        (2)

            ช่วงที่ยังคงคลุกคลีอยู่ในแวดวงพวกนักคิด-นักเขียน  ไปจนนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ อะไรประมาณนี้ ถ้าจำไม่ผิด...ดูเหมือนจะเป็นคุณน้อง ทวี สุวรรณพัฒน์ อดีตเพื่อนร่วมงานของอันตัวข้าพเจ้าเอง เมื่อหลายต่อหลายสิบปีที่แล้ว ที่บัดนี้...ไม่รู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ หรือลา-ละ-สละไปจากโลกใบนี้ไปแล้วหรือไม่ อย่างไร เพราะแทบไม่ได้สื่อสาร ติดต่อ กันมานานนับไม่รู้กี่ทศวรรษต่อกี่ทศวรรษเข้าไปแล้ว แต่ถือเป็นผู้ที่ให้ คำนิยาม ถึงการพบปะ สนทนา กันในวงข้าว วงเหล้า ของผู้คนในแวดวงดังกล่าว ไว้น่าคิด น่าสนใจเอามากๆ ด้วยการสรุปว่า...“คือการออกไปกล่าวหาผู้อื่น หรือไม่ก็แก้ข้อกล่าวหาที่ผู้อื่นได้เคยกล่าวหาตัวเองมาก่อนหน้านี้...”

                                                                                                                        (3)

            คือแค่ปรารภ รำพึง ใช้คำพูด คำจา แบบเลี้ยวไป-เลี้ยวมา แค่ไม่กี่วรรค ไม่กี่ประโยค ก็อาจส่งผลให้ ผู้ถูกกล่าวหา ต้องตั้งโต๊ะ ตั้งวงเหล้า เพื่อ แก้ข้อกล่าวหา กันประมาณ 3 วัน 3 คืน หรือ 3 เดือน 3 ปีเอาเลยก็ไม่แน่ โดยที่คำพูดที่ว่า จะมีเค้าโครงความจริงสอดแทรกอยู่ด้วย หรือไม่ อย่างไร ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาไปสนใจ เพราะที่แน่ๆ ก็คือ...ย่อมสามารถก่อให้เกิดความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท  ริษยาและชิงชัง ต่อผู้นั้นได้ไม่ยาก เนื่องจากการแข่งขัน ชิงดี-ชิงเด่น ชิงความเป็นเจ้ายุทธจักร หรือความเป็น ซัมบอดี้ ของผู้คนในแวดวงดังกล่าว มันออกจะเอาเรื่อง-เอาราว ไม่น้อยไปกว่าแวดวงอื่นๆ หรืออาจมากกว่า หนักกว่า เอาเลยด้วยซ้ำ...

                                                                                                                        (4)

            และอาจด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิด...ที่ทำให้การ ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง อยู่ตามลำพัง จึงเป็นอะไรที่ออกจะปลอดภัย ไร้โรคาพยาธิ หรือไม่ต้องเสียเวลาไป ปรุงแต่ง กับ อารมณ์-ความรู้สึก ใดๆ ที่ตัวกูเอง ชอบ-ไม่ชอบ ให้ต้องเสียเวลาทำมาหารับประทานโดยใช่เหตุ แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ความก้าวหน้า ก้าวไกล ของ เทคโนโลยี การสื่อสารในยุคนี้ มันสามารถตั้งโต๊ะ ตั้งวง ตั้งประเภท คลับเฮาส์ หรือ คลับเห่า ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรต่างๆ ขึ้นมาได้ไม่ยาก การปรารภ รำพึง หรือการใช้คำพูด คำจา แบบเลี้ยวไป-เลี้ยวมา แค่ไม่กี่วรรค ไม่กี่ประโยค ย่อมสามารถก่อให้เกิดความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท  ริษยาและชิงชัง อุบัติขึ้นมาในแบบประกายไฟไหม้ลามทุ่งเอาง่ายๆ!!!

                                                                                                                        (5)

            ความเกลียด มันจึงเป็นอะไรที่ออกจะสร้างง่าย จุดไฟ  จุดชนวน กันได้สบายๆ ต่างไปจาก ความรัก ที่นับวันจะเป็นอะไรที่สร้างยาก สร้างเย็น ซะเหลือเกิน ตั้งแต่ยุค  ทศวรรษแห่งความมืดมน โน่นแล้ว ผ่านมาไม่รู้กี่สิบ ต่อกี่สิบปี ความเป็นแดง เป็นเหลือง เป็นสลิ่ม เป็น 3 นิ้ว 3 กีบ  ฯลฯ ไม่เพียงยังคงมิได้สูญหายคลายจาง แต่นับวัน...กลับมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ ลุกลามบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่สามารถเอามาทะเลาะ เอามาเล่นงานกันได้ในทุกๆ เรื่อง ทุกๆ กรณี  แม้ว่าต่างฝ่าย ต่างกำลังตายโหง ตายห่า ไปตาม วัฏฏะสงสาร โดยมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย แต่ก็ยังมิอาจแสวงหาความเป็นเพื่อน ความเป็นมิตร ความมีน้ำใจ ไมตรี  หรือความปรารถนาดีต่อกันและกัน แม้แต่ในฐานะ เพื่อนร่วมวัฏฏะสงสาร ได้เลย...

                                                                                                                        (6)

            อันนี้นี่แหละ...ที่มันยิ่งทำให้บรรดา ความฉิบหาย ในลักษณะต่างๆ มีแต่ยิ่งต้อง ฉิบหาย...กับ...ฉิบหาย หนักขึ้นไปอีก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด จะ ถูกเกลียด หรือ ถูกรัก กันไปในรูปไหน แบบไหน ก็แล้วแต่ เพราะมีแต่ต้องอาศัยการเล่นงาน การพิชิต การเอาชนะฝ่ายที่ตัวเองเกลียด ที่ตัวเองไม่เห็นด้วย หรือ ฝ่ายตรงข้าม ให้ต้องพินาศ วอดวาย ลงไปเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงจะเป็นที่พออก-พอใจ ถูกอก-ถูกใจ สำหรับ ตัวกูเอง และก็แน่ล่ะว่า...มันคงไม่ได้ก่อให้เกิดความสุข ความสบาย หรือแม้แต่ความอยู่รอด ปลอดภัยใดๆ ขึ้นมาได้เลย เหมือนอย่างที่ Dionysius of  Halicarnassus อดีตรัฐบุรุษ อดีตแม่ทัพโรมัน เมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว ถึงกับต้องรำพึงเอาไว้เป็น วาทะ เป็นที่จดจำจนตราบเท่าทุกวันนี้นั่นแหละว่า...There is nothing  unhappier than a civil war, for the conquered are  destroyed by, and the conquerors destroy their friend.”  หรือ “ไม่มีอะไรจะไร้ความสุขยิ่งไปกว่าสงครามกลางเมือง  ด้วยเหตุที่ผู้แพ้ต้องถูกเพื่อนทำลาย และผู้ชนะต้องทำลายเพื่อนของเขาเอง”...

                                                                                                                                    (7)

            ด้วยเหตุนี้...ใครก็ตาม ที่ยังคงสนุกสนาน เมามันซ์ซ์ซ์  หรือยังคงขยันหมั่นเพียรในการสร้าง ความเกลียด แทนที่จะใช้ช่วงระยะเวลาอันสุดจะสั้น แสนสั้น ของช่วงชีวิตหนึ่งๆ  แค่ไม่กี่หมื่นวันเท่านั้นเอง เพื่อหาทางสร้าง ความรัก อันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะยากเย็น แสนเข็ญ เพียงใดก็ตาม แต่น่าจะถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า คุ้มราคา กับ ความเป็นมนุษย์ ที่มีโอกาสถือกำเนิด เกิดมา ในชาติหนึ่งๆ ย่อมต้องถือเป็นผู้ที่แทบไม่เหลือคุณค่า ราคาใดๆ เผลอๆ...อาจน้อยซะยิ่งกว่า  เดียรัจฉาน เอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                             ----------------------------------------------------------

              

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"