เรียกมาแรงแซงทางโค้งเสียทีเดียวสำหรับ “ข่าวลุงพล” เมื่อมีการออกหมายจับ “นายไชย์พล วิภา” หรือลุงพล ตั้งแต่ช่วงค่ำวันอังคาร ในคดีการเสียชีวิตของ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ “น้องชมพู่” วัย 3 ขวบ ซึ่งหายตัวไปจากบ้านพักในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ก่อนถูกพบเสียชีวิตอยู่บริเวณเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ห่างจากบ้านพักประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 63 …๐

 ที่ตามมาแบบตลกไม่ออกคือ การตำหนิติติง “สื่อ” ว่าเป็นผู้สร้างไอดอลลุงพลขึ้น แหม! ก็คงปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันว่า สื่อก็สะท้อนมาจากความอยากรู้อยากเห็นของสังคมและชาวบ้านมิใช่เหรอ ตามหลัก “ดีมานด์” และ “ซัพพลาย” ในหลักเศรษฐศาสตร์นั่นแล แต่ที่ขำไม่ออกก็คือ “พิธีกร” ดังที่เพิ่งพ้นคุกตะรางออกมาได้วิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าว โดยอาจลืมไปว่า “ช่องน้อยสี” ของเจ้าตัวนั่นแลเป็นหนึ่งในสื่อที่ปลุกปั้นกระแสลุงพลขึ้นมากับเขาด้วย ...๐

 ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะดู เหมือน “ทฤษฎีสมคบคิด” จะอาละวาดหนักในคดีลุงพล และการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ว่ามีการเชื่อมโยงกัน!!! ขำไม่ออกไปอีกเมื่อบรรดาแกนนำ 3 กีบ อย่าง “น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล” หรือรุ้ง แกนนำม็อบราษฎร ที่ไม่กล้าโพสต์แต่พยายามแชร์โพสต์ถึงความเกี่ยวโยงกัน โดยเฉพาะการลากโยงไปถึงการอภิปรายของ “น.ส.เบญจา แสงจันทร์” ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายงบเกี่ยวเนื่องกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์...๐

 พิโธ่! ไม่รู้ว่าอยู่ในโลกความจริงหรือความฝันถึงโยงใยได้ยิ่งกว่าใยแมงมุม คดีลุงพลนั้นก็ต้องบอกว่าเป็น “ภูเขาไฟ” รอปะทุนั่นแล เมื่อได้จังหวะเวลามันก็ระเบิดออกมา ซึ่งการตั้งข้อสังเกตของ “วัน อยู่บำรุง” ลูกของดอกเตอร์เหลิมที่บอกว่าออกหมายจับในวันคล้ายวันเกิดแม่น้องชมพู่ยังน่าเชื่อถือมากกว่าบอกว่ามาออกหมายจับในเวลานี้เพื่อกลบอภิปรายงบประมาณ โดยเฉพาะ กลบการอภิปรายของ “เบญจา” พระเจ้าจอร์จ สังคมเขาไม่รู้จักกันหรอกเบญจง เบญจาไหน แล้วที่สำคัญในยุค “นิวนอร์มอล” ด้วยแล้ว ไม่มีใครมานั่งถ่างตาดูช่วงค่ำ ดึกๆ ดื่นๆ กันแล้ว แม้กระทั่งสื่อหนังสือพิมพ์ในแผง ทั้ง เครือข่ายเชียร์ 3 กีบเองก็ยังไม่มีใครลงเลยแม่คุณ ...๐

 หันมาเรื่องโควิด-19 กันดีกว่า เพราะดูเหมือนตัวเลขยังคงน่าปริวิตกอยู่ต่อเนื่อง โดยผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับ 2-3 พันต่อวัน ในขณะที่ผู้เสียชีวิตก็อยู่ในระดับเกิน 30 รายแทบทุกวัน โดยล่าสุด “พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์” ผู้ช่วยโฆษก ศบค.ก็ยังระบุว่า ใน ผู้เสียชีวิตวันนี้ 38 รายนั้น มีอายุน้อยสุด 10 เดือน อายุมากสุด 95 ปี แต่ที่สำคัญคือมีถึง 8 ราย ที่เสียชีวิตในสัปดาห์แรกหลังจากทราบผลว่าติดเชื้อโควิด-19 เรียกว่าไวรัสมรณะระลอก 3 นั้นมาเร็วและแรง เป็นอย่างยิ่ง งานนี้เลยได้แต่มึนตึ้บในเมื่อรู้ว่า “แรง” และ “เร็ว” ล่าสุด ศบค.ได้เปิดคลัสเตอร์ใหม่ของ กทม. แต่กลับไม่ลงรายละเอียดว่าเป็นที่ใด โดยบอกว่าเป็น “ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว” เท่านั้น ต้องเรียกว่าเป็นการปกปิดและสุ่มเสี่ยงหรือไม่ เพราะย่านดังกล่าวมีห้างสรรพสินค้าไม่น้อย ที่สำคัญยังมีห้างที่จัดเป็นสถานที่ฉีดวัคซีนเอกชนด้วย การไม่ระบุชื่อให้แน่ชัดจึงอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาได้ ...๐

 หันมาเรื่องงบประมาณ 2565 กันบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดิมทีคาดกันว่าฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ดุเดือดเลือดพล่านในเวทีสภา เพราะเห็นตีปี๊บมาแต่ไก่โห่ ที่ไหนได้ที่เป็นประเด็นกลับเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ “ภูมิใจไทย” คว้ามีดมาแทงอกพลังประชารัฐเอง โดยเฉพาะประโยคของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี ที่บอกให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข กลับบ้าน หากนายกฯ ไม่รัก ซึ่งเชื่อว่า “ประโยค” ของชาดานี้จะต้องเป็นหนึ่งในวลีเด็ดของสื่อประจำรัฐสภาในการจัดทำฉายาประจำปีแน่ ...๐

 ยิ่งวันสุดท้าย “ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ออกมาสรุปความถึงเรื่องความน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องการชวนกลับบ้านไว้อย่างน่าคิด ทั้งในเรื่อง การติดรูปแบบ “รัฐราชการ” การถูกข้ามหน้าข้ามตาในการทำงาน แบบไม่ให้เกียรติกัน งานนี้ไม่น่าแปลก เพราะดูเป้าการอภิปรายของพลพรรคภูมิใจไทยนั้นตั้งแต่วันแรกก็ดูเหมือนโยนหินใส่หน่วยงานราชการอย่างเต็มสองมือ ทั้งสภาพัฒน์, สำนักงบประมาณ และล่าสุดคือสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่ท้ายที่สุด “บังซุป” หลังจากได้ระบายความอัดอั้นแล้วก็ประกาศว่าจะยกมือโหวตผ่านวาระ 1 แน่นอน แหม! การเมืองก็เป็นเช่นนี้แล ได้ด่าได้ระบายเดี๋ยวก็เจรจาต้าอ่วยกันได้ เพราะไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรกันทั้งนั้น ...๐

 

...ท.ศักดิ์