ว่าด้วยเรื่องการซุบซิบ ข่าวลือ ข่าวลวงและเสรีภาพ (ตอนที่หนึ่ง)


เพิ่มเพื่อน    

สังคมที่ปิดกั้นเสรีภาพในการพูด นั่นคือ มีการลงโทษทั้งทางกฎหมายและทางสังคม ผู้คนก็จะหันไปใช้การซุบซิบแทน และการซุบซิบมักจะเริ่มกับคนใกล้ชิด และก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น เพราะเมื่อ นาย ก. ซุบซิบกับคนสนิท ได้แก่  นาย ข. และนาย ค. ก็ไม่ได้หมายความว่า การซุบซิบจะจำกัดอยู่แค่คนสามคน เพราะ นาย ข. และ นาย ค. ต่างก็มีคนที่ตนไว้ใจอื่นๆ ต่อๆ ไปอีก จนระบาดไปทั่ว และไม่สามารถจับมือใครดมได้ว่า มันเริ่มมาจากใคร         

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่การซุบซิบจึงระบาดไปทั่ว แปรสภาพเป็นข่าวลือที่มีผลกระทบมากกว่าแค่ซุบซิบ ข่าวลือส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อคนที่ถูกลือ เพราะคนส่วนใหญ่จะรับรู้เรื่องที่ซุบซิบหรือข่าวลือนั้น     และไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง มันก็จะมีพลังกลายเป็น “คำตัดสินพิพากษา"            

ซุบซิบ-ข่าวลืออาจจะเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลวง แต่ซุบซิบ-ข่าวลือจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งหากคนที่ถูกซุบซิบเป็นคนที่อยู่อย่างไม่เปิดเผยหรือมีระยะห่างจากผู้คนมาก  เมื่อไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ใช้ชีวิตอย่างไร การซุบซิบ-ข่าวลือจึงไม่สามารถถูกพิสูจน์หักล้าง             

ยิ่งคนที่ไม่สามารถอธิบายตอบโต้ได้ ไม่ว่าจะด้วยสถานะและเหตุผลอะไร การซุบซิบ-สร้างข่าวลือก็จะยิ่งมีพลัง

คนที่อยู่อย่างเปิดเผยและใกล้ชิดกับชาวบ้านหรือสามารถสื่อสารตอบโต้ได้ การซุบซิบ-ข่าวลือจะไม่ค่อยมีพลังมากนัก หากการซุบซิบ-ข่าวลือมันแย้งกับความจริงที่ผู้คนเห็นกับตา แต่กระนั้นก็ตาม แม้จะอยู่อย่างเปิดเผย แต่อย่างไรเสีย ไม่มีใครที่จะดีหมดในสายตาคนมากมายหลากหลาย เพราะตัวตนของคนคนหนึ่ง อาจจะดีในสายตาบางคนและไม่ดีในสายตาอีกคนได้          
                
กระนั้น การซุบซิบ-ข่าวลือไม่จำเป็นต้องเกิด หากคนที่เป็นเป้านั้นไม่มีอำนาจที่จะลงโทษใครที่ซุบซิบเรื่อง  เพราะไม่จำเป็นต้องซุบซิบ แต่สามารถพูดตรงๆ ต่อหน้าได้เลย ไม่ต้องกลัวถูกลงโทษทำร้าย อย่างเช่น คนเป็นนายสามารถด่าคนงานต่อหน้าได้ว่า ทำไมมึงถึงตัวเหม็นจัง  แต่คนงานคงไม่กล้าพูดเรื่องกลิ่นตัวของนายต่อหน้านาย สิ่งที่ทำได้คือ ไปซุบซิบกับคนงานด้วยกันหรือกับคนอื่นๆ ที่ไม่มีทางที่จะกลับมาเข้าหูนายได้ ดังนั้น การซุบซิบ-ข่าวลือจึงมีเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง      
    
นั่นคือการที่คนคนหนึ่งจะมีเสรีภาพในการพูดได้ คือ การที่คนคนนั้นมีอำนาจเหนือคนที่เราพูดถึง คนเป็นนายมีเสรีภาพในการพูดเรื่องกลิ่นตัวของคนงานต่อหน้าคนงาน เพราะตัวเองมีอำนาจเหนือคนงาน ส่วนคนงานไม่มีเสรีภาพในการพูด แต่ต้องซุบซิบเพราะกลัวนายเล่นงาน

อย่างไรก็ตาม นอกจากความสัมพันธ์เชิงอำนาจแล้ว  อาจจะเป็นเรื่องของความสุภาพมีมารยาทด้วยก็ได้ ผู้เป็นนายอาจจะมีมารยาทพอที่จะไม่พูดตรงๆ เรื่องกลิ่นตัวคนงานต่อหน้า แต่ไม่ใช่เพราะนายกลัว แต่เป็นเรื่องการถนอมน้ำใจกันมากกว่า นายจ้างอาจจะหาวิธีพูดอย่างมีศิลปะเตือนให้คนงานรู้ว่านายจ้างได้กลิ่นตัวของเขา และเช่นเดียวกัน คนงานก็อาจจะหาวิธีพูดเรื่องกลิ่นตัวของเจ้านายได้อย่างสุภาพและมีศิลปะ โดยไม่ทำให้นายโกรธและลงโทษเขา                                     

ในแง่นี้ ทั้งเจ้านายและคนงานต่างมีเสรีภาพที่จะพูดความจริงในสิ่งที่แต่ละคนคิดต่อกันและกันได้ โดยคนงานไม่จำเป็นจะต้องไปแอบซุบซิบ และเจ้านายมีเสรีภาพในการพูด โดยไม่ใช่เพราะตนมีอำนาจเหนือคนงาน      

ในแง่นี้ ถ้ารู้จักพูด คนแต่ละคนก็จะมีเสรีภาพเท่าเทียมกันในการพูด เพราะแต่ละคนมีความปรารถนาดีต่อกัน                                              
แต่ถ้าไม่ปรารถนาดีและไม่ต้องรับโทษใดๆ ในการพูด

ไม่ใช่ซุบซิบ (เพราะไม่ต้องแอบคุยในวงแคบๆ แล้วค่อยขยายไป) เป็นข่าวลือที่ไม่ใช่ข่าวลือ เพราะมันสามารถระบุตัวคนจำนวนมากที่ลือต่อๆ กันได้ และมันอาจจะเป็นข่าวจริงหรือข่าวลวงก็ได้     

ดังนั้น การแพร่ระบาดของ “บัตรสนเท่ห์” จึงสามารถเป็นทั้งอาวุธของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีทางสู้ต่อหน้ากับคนตัวใหญ่ แต่คนตัวใหญ่ก็สามารถเป็นเหยื่ออธรรมของฝูงคนตัวเล็กตัวน้อยได้เช่นกัน (ทั้งที่มีตัวจริงๆ และที่เป็นอวตาร)        
                                
ในสมัยรัชกาลที่สี่ ในราว พ.ศ.2408 มีคนปล่อยบัตรสนเท่ห์ออกไปจนกลายข่าวลือแพร่สะพัดเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับพระองค์ มีข้อกล่าวหาสามข้อ คือ     
    
หนึ่ง กรุงสยามอยู่ภายใต้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหญ่ (หมายถึงรัชกาลที่สี่ เพราะสมัยนั้น มีพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชอนุชาในรัชกาลที่สี่) จะมีพระบรมราชโองการมากประการใดก็ต้องปฏิบัติตาม จะคัดค้านมิได้ไม่ว่าจะเป็นราษฎรผู้ใดก็ตาม     

สอง ในท้องพระคลังของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนั้น เต็มไปด้วยเงิน ประหนึ่งภูเขาทองและเงิน และเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มั่งคั่งที่สุด    
            
สาม พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองกรุงสยามองค์ปัจจุบัน มีพระทัยคับแคบและทรงนิยมสิ่งของทั้งหลายที่แปลกๆ ทรงโปรดธรรมเนียม ประเพณี วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และวรรณคดี ฯลฯ ของชาวยุโรปโดยไม่มีขอบเขต พระองค์ยังทรงพอพระราชหฤทัยถ้อยคำประจบ และทะเยอทะยานในพระเกียรติ ดังนั้น ในขณะนี้ จึงเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะทำการกอบโกยเอาเงินเอาทองจำนวนมากจากท้องพระคลังของกรุงสยาม ฯลฯ 
    
พระองค์ทรงทำอย่างไรกับข่าวลือนี้ หรือมันเป็นความจริง? โปรดติดตามตอนต่อไป.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"