พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชอำนาจมากแค่ไหน ?


เพิ่มเพื่อน    

(ข้อเขียนนี้เป็นตอนที่สามต่อจากตอนแรก “การซุบซิบ ข่าวลือ ข่าวลวงและเสรีภาพ” และตอนที่สอง “พ.ศ. 2408:  มีคนปล่อยข่าวลือว่ารัชกาลที่สี่เป็นกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่เผยแพร่ไปเดือนที่แล้ว)        พ.ศ. 2408 มีคนปล่อยบัตรสนเท่ห์เป็นภาษาอังกฤษว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจในแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (“Siam is under quite absolute Monarchy.”)        

เรามาดูกันว่าเป็นจริงเช่นนั้นจริงหรือไม่ ?                            

การเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระองค์ในปี พ.ศ. 2394 เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของที่ประชุมพระราชวงศ์และเสนาบดีผู้ใหญ่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนางตระกูลบุนนาค แม้ว่าในช่วงสุดท้ายก่อนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงเสนอชื่อของพระราชโอรส (หม่อมเจ้าอรรณพ) ให้เป็นผู้สืบสันตติวงศ์  แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ  เพราะเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่เห็นสมควรให้เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ โดยปัจจัยในการกำหนดตัวผู้สืบสันตติวงศ์สัมพันธ์กับบริบทางการเมืองของสยามขณะนั้น                 

แม้ว่าการตัดสินใจเลือกเจ้าฟ้ามงกุฎนี้ใช่ว่าจะเป็นความเห็นพ้องต้องกันในหมู่เสนาบดีผู้ใหญ่เสียทีเดียว  แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดอันได้แก่ขุนนางรุ่นใหม่ในตระกูลบุนนาคได้ตระหนักถึงพระปรีชาสามารถในความรู้ในภาษาต่างประเทศและวิทยาการและความเป็นไปของโลกตะวันตกของพระองค์ อันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเท่าทันต่อโลกภายนอกสยาม และพระองค์ทรงมีทีท่าที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกไม่ต่างจากจุดยืนของกลุ่มขุนนางดังกล่าวนี้ที่ต้องการทำสนธิสัญญาทางการค้ากับอังกฤษ              

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ ดิศ บุนนาคเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์  สำเร็จราชการต่างพระเนตรพระกรรณทั่วราชอาณาจักร และรวมทั้งขุนนางสายตระกูลบุนนาคคนอื่นๆก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นการตอบแทน ทำให้ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆอย่างเช่น กลาโหม สมุหนายก เมือง วัง คลัง นาล้วนมาจากขุนนางตระกูลบุนนาคหรือเกี่ยวข้องโดยการแต่งงานกับพวกบุนนาคทั้งสิ้น   ซึ่งต่างจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯที่เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ทรงหาทางลดทอนอำนาจบรรดาขุนนาง โดยการแบ่งแยกและปกครองเพื่อไม่ให้อำนาจกระจุกตัวอยู่ที่ขุนนางผู้ใหญ่  แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯไม่สามารถทรงทำเช่นนั้นได้ เพราะพระองค์ไม่ได้สั่งสมอำนาจบารมีในทางการค้าและการเมืองมาก่อนขึ้นครองราชย์  และเหตุผลประการหนึ่งที่พวกขุนนางตระกูลบุนนาคสนับสนุนพระองค์ก็เป็นเพราะพระองค์ไม่ได้ทรงมีอำนาจบารมีทางการเมืองที่เข้มแข็งพอที่จะต่อรองอะไรมากกับกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนพระองค์  เพราะก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงผนวชมาเป็นเวลานานราวสามทศวรรษ ทำให้พระองค์ไม่มีอำนาจต่อรองเท่าไรนัก             

สถานะของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ “ปรากฏชัดเจนจากประกาศของพระองค์ใน พ.ศ. 2397 เพื่อพระราชทานอำนาจหน้าที่เต็มแก่ขุนนางคนสำคัญในตระกูลบุนนาคโดยส่วนใหญ่ ได้แก่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)  เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (สมุหนายก: ว่าการมหาดไทย) และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) โดยให้มีอำนาจบัญชาการเรื่องต่างๆได้โดยไม่ต้องรอพระบรมราชานุมัติ โดยพระองค์จะยินดีหากมีผู้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงการตัดสินใจสำคัญใดๆเพื่อจะได้ปฏิบัติพระองค์ตามสมควร”                    

ส่วนตำแหน่งวังหน้า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี พระอนุชาร่วมพระมารดาให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  เพราะในขณะนั้น ยังไม่ทรงมีพระราชโอรสที่ประสูติในเศวตรฉัตร (เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงประสูติ พ.ศ. 2396)  และในการแต่งตั้งนี้ถือเป็นการแต่งตั้งที่พิเศษ นั่นคือ “โปรดพระราชทานให้มียศยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน” นั่นคือ ให้มียศยิ่งใหญ่กว่ากรมพระราชวังสถานมงคลและให้เสมอกันกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยให้ออกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ถือเป็น “พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง” และ “ให้รับพระราชโองการทั้ง ๒ พระองค์..ผิดกันแต่คำนำหน้าที่ว่ารับพระราชโองการและรับพระบวรราชโองการเท่านั้น” และพะราชพิธีบวรราชาภิเษกก็ไม่แตกต่างจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” 

เหตุผลในการแต่งตั้งดังกล่าวนี้ สืบจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงพระราชดำริเห็นว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี พระอนุชา “ทรงพระปรีชารอบรู้การในพระนครและการต่างประเทศ และขนบธรรมเนียมต่างๆ และศิลปะศาสตร์ในการรณรงค์สงครามเป็นอันมาก พระบรมราชวงศานุวงศ์และเสนาบดีข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้ใหญู่ผู้น้อยก็นิยมยินดีนับถือมาก”  ซึ่งการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง “พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง” นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพระนเรศวรที่ทรงแต่งตั้งพระเอกาทศรถ  ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องเผชิญกับภัยภายนอกคือพม่าและทำให้ไม่มีปัญหาในการสืบราชสมบัติ                        

ขณะเดียวกัน ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินท์ รัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกล่าวว่า “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงเชื่อตำราพยากรณ์ ว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯจำต้องได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน”  พระองค์จึงทรงแต่งตั้งเพื่อแก้เคล็ดคำพยากรณ์ดังกล่าว          ขณะเดียวกัน ก็เป็นไปได้ว่า การที่พระองค์ทรงต้องการให้ตำแหน่งวังหน้าที่ครองโดยพระราชอนุชามีสถานะที่เท่าเทียมพระมหากษัตริย์ก็เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯทรงพอพระทัยกับสถานะอันทรงพระเกียรติสูงสุดเพื่อที่จะไม่จำเป็นต้องคิดแย่งชิงบัลลังก์โดยคบคิดกับผู้นำขุนนางตระกูลบุนนาค  ซึ่งก่อนหน้านี้ การมีพระมหากษัตริย์สองพระองค์เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ย้อนกลับไปถึง 261 ปีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ     

                       

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ  

 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า

ในปลายรัชกาล ได้เกิดการควบรวมอำนาจทางการเมืองโดยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์  ในปี พ.ศ. 2398 เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ถึงแก่พิราลัย เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ได้ขึ้นเป็นสมุหพระกลาโหมแทน ต่อมา พ.ศ. 2400 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)  ผู้เป็นอาของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัย  และในปี พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์องค์ที่สองและตำแหน่งวังหน้าสวรรคต ทำให้อำนาจทางการเมืองอยู่ภายใต้การนำของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์แห่งตระกูลบุนนาคในสายของตนแต่เพียงผู้เดียว                     
อีกทั้งหลังจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯสวรรคต ทำให้ตำแหน่งวังหน้าว่างลง เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กราบทูลให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว  แม้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯไม่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแต่งตั้งผู้ใดให้ดำรงตำแหน่งวังหน้า แต่ด้วยอำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่และการให้เหตุผลของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ พระองค์จึงทรงประนีประนอมยอมแต่งตั้งให้พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศดำรงตำแหน่งกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ  แม้ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะมีสิทธิ์สืบราชสมบัติเท่ากับตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  แต่ในทางปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯทรงโปรดให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญเสด็จออกงานพิธีคู่กับพระองค์ แต่ในทางราชการ มิได้ “ทรงยกย่องกรมหมื่นบวรวิชัยชาญให้ผิดกับแต่ก่อนอย่างไรไม่”  นั่นคือ ในทางปฏิบัติทรงปฏิบัติให้ผู้คนเห็นว่าทรงปฏิบัติต่อกรมหมื่นบวรวิชัยชาญประดุจกรมพระราชบวรสถานมงคล แต่ในทางการ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญมิได้มีสิทธิ์ในการสืบราชสมบัติอย่างกรมพระราชวังบวรสถานมงคล    

ขณะเดียวกัน แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ทรงโปรดเกล้าฯให้มีการออกประกาศต่างๆมากมายตลอดรัชสมัยของพระองค์  แต่กุลลดา เกษบุญชู มี๊ด นักรัฐศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม ได้กล่าวว่า “ถึงแม้ประกาศฉบับต่างๆของพระองค์จะให้ภาพว่าทรงกระตือรือร้นในกิจการของรัฐ ทว่าบรรดาขุนนางผู้ใหญ่มิได้เข้าเฝ้าฯเป็นประจำทุกวัน ก็บ่งชี้ว่าพระองค์มิได้เป็นศูนย์กลางอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐพิธีและพระราชพิธีต่างๆกลายเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากขุนนางผู้ใหญ่ไม่สนใจเข้าร่วมพิธี เมื่อต้องประกอบพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระองค์จึงตรัสว่ามิได้คาดหวังให้ขุนนางมาช่วยงาน แต่หากผู้ใดมาช่วยงาน พระองค์จะสมนาคุณตอบแทนเมื่อถึงเวลาอันสมควร การเน้นย้ำผลประโยชน์ต่างตอบแทนเช่นนี้ทำให้พระองค์มิได้แสดงบทบาทพระมหากษัตริย์แบบจารีตในฐานะองค์อุปถัมภกสูงสุดอีกต่อไป พระองค์ทรงยอมรับอย่างเปิดเผยว่าทรงเห็นเป็นบุญคุณอย่างยิ่งที่บรรดาขุนนางสนับสนุนให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ 

เมื่อพระราชลัญจกรประจำรัชกาลถูกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงชราและไร้พระราชอำนาจ พระองค์ก็ได้ขอร้องให้เหล่าขุนนางเข้าเฝ้าฯและร่วมพิธีทำขวัญ ในความสัมพันธ์ระหว่างขุนนาง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพยายามยืนยันพระราชอำนาจด้วยการเน้นย้ำให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯเฉพาะพระพักตร์ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯเพื่อรอรับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปีด้วยตนเองแทนที่จะส่งผู้แทนมา  พระองค์ยังเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาและทรงริเริ่มการให้คำสัตย์สาบานว่าจะซื่อตรงต่อผู้ปกครอง  นอกจากนี้ พระองค์ยังลงพระปรมาภิไธยและพระราชทานหนังสือเฉลิมพระยศเจ้านายด้วยพระองค์เอง ณ วังของเจ้านายนั้นๆ ทั้งยังส่งเสริมให้ขุนนางระดับล่างกราบบังคมทูลให้ทรงทราบหากจะจัดพิธีใดๆขึ้นมา เพื่อจะได้เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมงานโดยมุ่งหมายผลประโยชน์ต่างตอบแทนในภายหน้า  แต่กระนั้น ทรัพยากรที่จะเสริมสร้างระบบอุปถัมภ์ของพระองค์ก็มีอยู่จำกัด  ดังจะเห็นได้จากการเสนอให้ขุนนางใช้บริการนวดจากข้าราชบริพารของพระองค์”            

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงห่างไกลจากการเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามที่มีผู้ปล่อยข่าวลือ                  

คราวหน้าจะได้กล่าวถึงข่าวลืออีกเรื่องหนึ่งที่ว่า “ในท้องพระคลังของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนั้น เต็มไปด้วยเงิน ประหนึ่งภูเขาทองและเงิน และเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มั่งคั่งที่สุด” !     

(แหล่งข้อมูล: พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินท์ รัชกาลที่ 5 พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ; ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๒ จดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต. [พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียงทูลเกล้า ฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พิมพ์พระราชทานในงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร ครบสัปตมวาร ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒]; พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่ม 2; ชัยอนันต์ สมุทวนิช, การเมือง-การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย 2411-2475,;กุลลดา เกษบุญชู มี้ด เขียน, อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วิวัฒนการรัฐไทย; Abbot Low Moffat, Mongkut the King of Siam.)


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"