ลั่นไม่คิดทรยศชาติพ้อ อยากย้อนเวลา


เพิ่มเพื่อน    

  คณะผู้นำชาวนาเข้าพบนายกฯ สกรีนเสื้อหรา “กองหนุนลุงตู่-เอฟซีสมคิด" เผยรักลุงตู่ตั้งแต่ยศพันเอก ให้โอกาสทุกอย่าง จึงรวมตัว 5 สมาคมเป็นชาวนาประชารัฐมาสนับสนุน "ประยุทธ์" จวกคนปูดเอาเงินขายข้าวมาทำการเมือง ลั่นไม่คิดทรยศชาติ ตัดพ้อถ้าย้อนกลับได้คงปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมือง  "วิษณุ" ตีปี๊บยุทธศาสตร์ชาติทำให้ ปท.เดินไม่สะเปะสะปะอีก จ่อถก กกต.แก้ปัญหาไพรมารีโหวต-แบ่งเขตเลือกตั้งก่อน คสช.พบพรรคการเมือง "วัฒนา" โต้ "บิ๊กตู่" จะด่ามีปัญหามั้ย ลั่นถ้าทนฟังไม่ได้รีบคืนอำนาจใ ห้ ปชช.

    ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 09.30 น. วันที่ 8 มิถุนายน นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ นำคณะผู้นำชาวนา องค์กรชาวนา ที่ได้รับรางวัลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรดีเด่นด้านข้าว ประจำปี 2561 และตัวแทนชาวนารุ่นใหม่ เข้าเยี่ยมคารวะและรับฟังนโยบายด้านข้าวจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ 
    โดยคณะผู้นำชาวนาได้สวมเสื้อคอปกสีฟ้า สกรีนข้อความบริเวณหน้าอกด้านขวาว่า “ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสตร์ กษัตริย์” และข้อความ "สนับสนุนลุงตู่" ขณะที่หน้าอกด้านซ้ายสกรีนอักษรย่อภาษาอังกฤษ “FOS” ส่วนด้านหลังเสื้อสกรีนข้อความว่า "กองหนุนลุงตู่ By FOS"  ซึ่ง FOS เป็นอักษรย่อของคำว่า "Friend of Somkid" 
    นายพูลพัชร พูลเจริญ ที่ปรึกษาสมาคมชาวนาข้าวไทย กล่าวว่า นายกฯ ให้โอกาสพวกเรามีทั้งแหล่งทุนทุกอย่าง ประเด็นที่พวกเรารักนายกฯ ไม่ใช่จะเพิ่งรัก แต่รักมาตั้งแต่ปี 2546 โดยชาวนาได้ไปทำข้าวที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ กองพันทหารเสือ ปีนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานเลี้ยงทุกคน คนที่มาเข้าเฝ้าฯ ใส่ชุดราตรีสโมสรทั้งหมด มีพันเอกพิเศษท่านเดียวที่ลาดตระเวนตลอดพระที่นั่ง ไม่ได้กินอะไร เขาชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตอนนั้นเป็นรองผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ เราประทับใจคนผู้นี้มาก เพราะจงรักภักดีต่อชาติและราชบัลลังก์ 
    "เวลาชาวนามีปัญหาก็ให้โอกาสเรา สนับสนุนแหล่งเงินทุน ชาวนาสามารถเข้าถึงได้ เราจึงรวมตัวกัน 5 สมาคมเป็นหนึ่งเดียว เป็นชาวนาประชารัฐ ในเมื่อเรารัก เราก็ต้องแสดงออก และในปี 2554 มีการให้แหนบ ท่านบอกกับทุกคนว่าใครที่มาเสียเงิน 700 บาท ให้ไปรับคืนที่กรมทหารราบที่ 21 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาใจใคร ปากกับใจตรงกัน จึงเป็นที่มาของการสนับสนุน และตัวย่อ FOS ก็หมายถึง Friend of Somkid ที่จัดหาแหล่งเงินทุนให้เราในรูปแบบประชารัฐ พวกเรามีกันทั่วประเทศ” นายพูลพัชรระบุ
    ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับชาวนาตอนหนึ่งว่า วันนี้หากทุกคนใจร้อน อยากได้อะไรดีๆ เร็วๆ ด่วนๆ ท้ายสุดก็กลับมามีปัญหาทั้งสิ้น รัฐบาลไม่อยากจะทำอะไรที่แก้ปัญหาอย่างง่ายๆ หากเดือดร้อนแล้วให้เงินไป แต่วัดสัมฤทธิ์อะไรไม่ได้เลย ขณะเดียวกันสังคมวันนี้หลายอย่างมีปัญหา โดยเฉพาะสังคมในโซเชียลมีเดีย ที่ด่ากันไปด่ากันมาทุกวัน ไม่เห็นว่าจะได้สาระอะไร ทำให้สิ่งที่ดีๆ ล้มไปหมด ซึ่งเกิดจาก 2 อย่าง คือ การเมืองและความเพลิดเพลินในการเล่นโซเชียลมีเดีย โดยไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นขออย่าให้การเมืองนำ แต่ต้องใช้สติปัญญาและความคิดในการทำงาน
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยได้ประโยชน์จากข้าว เพราะตนเป็นประธานเอง และเข้าประชุมทุกครั้ง อะไรที่ไม่เข้าคณะกรรมการฯ ก็จะไม่อนุมัติให้ ทุกอย่างเปิดเผยทั้งหมด มีการประมูลที่หน้าคลัง หากใครไม่ไปร่วมแล้วมาบอกว่าไม่ยุติธรรมไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นการงุบงิบเปิดแล้วใส่ซอง อีกทั้งคนที่เคยได้แล้วไม่ได้ ก็หาว่ารัฐบาลไม่เป็นธรรม ได้เงินมา 4 หมื่นล้านจากการขายข้าว 2 ล้านตัน แล้วเงินจำนวนดังกล่าวอยู่ที่ไหน แล้วยังบอกว่ารัฐบาลจะเอาเงินนี้ไปทำการเมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เละไปหมด
    “เชื่อใจผมสิครับ ผมเป็นอย่างนี้ ผมไม่ทำหรอก ถึงไม่เข้ามา ผมก็ไม่ทำ ผมไม่เคยทำอย่างนั้นไม่เคยทรยศกับประเทศชาติ จำคำพูดผมไว้แล้วกัน นโยบายผมชัดเจน ส่วนของการปฏิบัติก็ไปไล่กันตรงโน้น มีการตรวจสอบ ไปไล่กันมา ผิดก็ลงโทษ แต่ยืนยันว่าผมมีเจตนาบริสุทธิ์ในการทำงาน ในการบริหารราชการแผ่นดิน ขณะที่ผมเข้ามาในลักษณะนี้ ผมรู้ตัวดีอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่เข้ามาจะทำอย่างไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็อยากจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดูสิว่าวันนี้จะอยู่กันได้ไหม มันจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แล้ววันนี้จะปล่อยในเกิดขึ้นอีกหรือ ทุกอย่างที่ทำวันนี้มันจะล้มไปหมดเลย ทั้งการค้าการลงทุน หลายประเทศก็เชิญมา ผมก็ต้องไป อาจไม่ให้ไปเป็นทางการ แค่พูดคุยได้ เพราะกฎหมายเขียนอย่างนั้น ผมก็ทน ผมไม่อายใคร เพราะผมทำความดี แต่เรื่องกฎหมายมันก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเขา แต่ความรู้สึกส่วนตัวเขาไม่มีอะไรกับผม ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ตีกันไปเหมือนที่ผมบอก ทำลายกันเข้าไปนายกรัฐมนตรี วันหน้ามาอีกก็โดนอีกนายกฯ ดีไม่ดีก็โดนด่าพอกัน ทำดีก็โดน ทำไม่ดีก็โดน แล้วมันจะเป็นอย่างนี้หรือ จะแยกแยะใครได้”
อีก 3 ปีเห็นผลตอบสัญญาใจ
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า แม้ตนไม่ได้เรียนดอกเตอร์ แต่คิดและอ่านหนังสือรวมถึงอ่านโซเชียลมีเดีย และสื่อที่มีทั้งด่าและชม แต่ส่วนใหญ่ด่ามากกว่า ตนไม่เคยน้อยใจ จะรู้เองว่าวันหน้าเกิดอะไรขึ้น เพราะตนทำวันนี้เพื่อวันหน้าและไม่ได้โทษใคร ซึ่งการไปสู่ประชาธิปไตยต้องสงบและเรียบร้อย การตีกันไปมาจะเลิกได้ไม่ได้ ก็มีผลกระทบกับทุกคน ประท้วงกันไปมารัฐบาลก็ไม่สามารถทำงานหรือแก้อะไรต่อได้ จึงขอให้เลิกได้แล้วการประท้วงแบบเดิม ขออย่าเข้าไปร่วม ทั้งนี้ประชาธิปไตยไม่ใช่แก้ทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่มีความจำเป็น เพราะโลกเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องมองว่าประชาธิปไตยของเราควรเป็นแบบใด จะเป็นแบบเดินหรือไม่ จึงต้องร่วมมือกัน ประชาธิปไตยต้องดูแลทั้งคนส่วนใหญ่และส่วนน้อย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
    หลังจากนายกฯ มอบนโยบายแก่ตัวแทนกลุ่มชาวนาเสร็จสิ้น นายกฯ ได้เดินลงไปทักทายกับตัวแทนชาวนา โดยในช่วงหนึ่งได้มีชาวนาตะโกนขึ้นว่า “สู้ สู้” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับหัวเราะชอบใจ ก่อนจะกล่าวว่า “จะให้สู้กับใคร ตอนนี้ก็สู้อยู่กับปัญหา วันนี้ทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี และนายกฯ ไม่เคยทอดทิ้งใคร ทำงานเพื่อทุกคนนั่นแหละ ทำงานเพื่อคนทั้ง 70 ล้านคน"
    จากนั้นนายกฯ ได้ถ่ายภาพร่วมกับคณะตัวแทนชาวนา โดยช่วงหนึ่งเมื่อหันไปเห็นข้อความบนหลังเสื้อชาวนาที่ระบุว่า “กองหนุนลุงตู่” นายกฯ ได้ทำท่าตกใจ พร้อมถามกลับว่า “เอ๊ย! ใครไปทำมา เดี๋ยวก็หาว่าผมเอาใจ”
    ช่วงค่ำ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ว่าสุภาษิตโบราณกล่าวว่า จิ้งจกทัก เรายังต้องฟัง เพราะฉะนั้นทุกเสียง ทุกความเห็น โดยเฉพาะจากพี่น้องประชาชน เจ้าของประเทศ ผม รัฐบาล และ คสช.ได้ยิน และได้นำมาสู่กระบวนการแก้ไขอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เพราะเป้าหมายของเราคือ การคืนความสุขให้กับคนในชาติ ซึ่งเราไม่ได้ตีความความสุขแต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ใช้อ้างอิงในวงวิชาการ วงการธุรกิจ หรือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่างๆ
    "แต่รัฐบาลมองและให้ความสำคัญในเรื่องอื่นๆ ที่กว้างกว่านั้น ทั้งเรื่องปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาทุจริต การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอ รวมไปถึงความแตกแยกอุดมการณ์ทางการเมือง เป็นต้น ดังนั้น เสียงสะท้อนจากโพล หรือเสียงบ่นในใจ ก็ขอให้ถ่ายทอดมาเถิดครับ ผ่านสายด่วนต่างๆ ทั้ง 1111 และศูนย์ดำรงธรรม 1567 รวมทั้ง สายด่วนไทยนิยม ซึ่งผมก็ดีใจ ที่วันนี้หลายเรื่องหลายราว ซึ่งเป็นความทุกข์ใจได้รับการแก้ไขแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จะไม่ถูกมองข้าม แต่เรื่องยากๆ ซับซ้อน ก็ต้องขอเวลาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทำงาน ได้มีเวลาพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสม"
    นายกฯ บอกว่า หลายเรื่องซุกอยู่ใต้พรม คนรู้เบาะแสก็ไม่กล้าเปิดเผย เพราะกลัวภัยจะมาถึงตัว ก็ถูกหยิบขึ้นมาสู่สังคม แล้วรัฐบาลนี้ก็เอาจริงเอาจังในบังคับใช้กฎหมาย อาทิ เรื่องอาหารกลางวันเด็ก ขนมจีนน้ำปลา เรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้-ผู้ประสบภัย เรื่องกองทุนเสมา ไปจนถึงเรื่องเงินทอนวัด แม้กระทั่ง ความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น ถนนชำรุด เป็นต้น เราก็ได้พยายามแก้ไขมาตามลำดับ ก็ขอให้ทุกคนสามารถแจ้งเข้ามาตามช่องทางที่กล่าวไว้ได้ 
    สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือการปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ก็คงต้องอาศัยเวลาในการผลิดอกออกผล วันนี้เราลงทุนเพื่ออนาคตจำนวนมาก นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างโอกาส สร้างสิ่งดีๆ เพื่อวันข้างหน้า อาทิ การเร่งสร้างรถไฟฟ้าเกือบ 10 สายในวันนี้ เพราะที่ผ่านมาเดินหน้าไม่ได้ อาจทำให้รถติด ก็คงต้องอดทน เพื่อความสะดวกสบายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การสร้างอีอีซี ที่จะเริ่มทยอยเห็นผล จะมีการจ้างงานหลายหมื่นอัตราในหลายสาขา จะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะมีการส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี เป็นต้น ซึ่งทุกคนที่เป็นคนไทยจะได้รับอานิสงส์ได้รับโอกาสร่วมกัน ซึ่งเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ 
    "ลองมองย้อนไปยุคโชติช่วงชัชวาล เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา วันนี้เหมือนเรากำลังกินบุญเก่าอยู่ เมื่อใกล้จะหมดลง ประเทศเราก็จะมีอีอีซีเข้ามาทดแทน วันนี้ผมต้องการทำเพื่อลูกหลาน เพื่อคนรุ่นใหม่ ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา วันนี้แม้อาจจะยังไม่เห็นผล ก็ไม่เป็นไร แต่อีก 3 ปีข้างหน้าเป็นต้นไป เมื่อโครงการต่างๆ ทยอยเสร็จสมบูรณ์ ท่านก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดตอนนี้ เป็นความจริงเป็นการสนองตอบสัญญาใจ ที่เรามีไว้ต่อกัน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 
ตีปี๊บยุทธศาสตร์ชาติ
     ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพภายใต้การประชุมวิชาการหลักสูตรผู้บริหารหลักสูตร 6 สถาบัน ในหัวข้อ ก้าวต่อไปไทยแลนด์ : Thailand’s Next โดยนายวิษณุ เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า ประเทศก็เหมือนคนซึ่งจะต้องก้าวเดินต่อไป แต่คนเดินบ้างพักบ้าง แต่การก้าวเดินของประเทศมีความสำคัญมากกว่า ตนอยู่กับรัฐบาลหลายชุดในอดีต การก้าวเดินของรัฐบาลแต่ละชุดมีท่วงท่าแตกต่างกัน การก้าวเดินในอดีตนั้นจะมีลักษณะที่สำคัญร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือการก้าวเดินอย่างไม่มั่นใจ เป็นการก้าวเดินที่มีการเบี่ยงเบนสะเปะสะปะไม่ตรงเป้า เนื่องจากไม่รู้ว่าเป้าอยู่ที่ไหน และมีเวลาน้อย เพราะว่ามองไปเห็นอุปสรรคมาก เนื่องจากต้องอาศัยกฎหมาย งบประมาณ การรับรู้ความเข้าใจของประชาชน และหลายเรื่องที่ทำไม่มีกฎหมายรองรับ
    "ในอนาคตต่อจากนี้ การก้าวเดินของรัฐบาลต้องเดินอย่างเชื่อมั่นและมั่นคงในทุกด้าน ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งเป้าหมายนั้น ยุทธศาสตร์ชาติคือการพัฒนาประเทศในทุกด้าน และต้องเป็นการพัฒนาเป้าหมายอย่างยั่งยืน มีธรรมาภิบาล โดยกำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 65 กำหนดให้รัฐบาลจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาประเทศทุกทาง ส่วนจะชอบไม่ชอบ ทำได้ไม่ได้ จะต้องพยายามเดินให้ตรงเป้า เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว"
    นายวิษณุกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เพื่อวางกรอบนโยบายตามยุทธศาสตร์ชาติ ยังจะต้องดูนโยบายพรรคการเมืองว่าจะเสนออย่างไร การวางนโยบายของแต่ละพรรคที่รวมกันเป็นรัฐบาลที่จะต้องผสมผสานกัน ซึ่งทำให้เสียรูปนโยบายเดิม จุดอ่อนของการพึ่งพาอาศัยนโยบาย คือกว่าจะรู้อะไรคือนโยบายของประเทศก็ตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว และนโยบายจะมีอายุสั้นอยู่แค่ 4 ปีในช่วงอายุของรัฐบาล บางพรรคมีนโยบายนิรโทษกรรมบ้าง บางพรรคยกเลิกทุกอย่างที่ คสช.ทำไว้ กรอบของกฎหมายจะเป็นตัวกำหนดการย่างก้าวเดินของแต่ละรัฐบาล โดยกฎหมายในอดีตอาจไม่รัดกุมมีความหละหลวมและไม่น่ากลัว ทำให้ไม่ต้องระวังกฎหมาย แต่ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะกฎหมายจะน่ากลัวยิ่งขึ้น อย่างน้อยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีการกำหนดหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งถ้ารัฐบาลทำผิดหน้าที่ก็จะเป็นความผิดทันที ถ้าสิ่งไหนที่ยังไม่ทำก็ต้องทำเพื่อให้เดินไปตรงตามเป้าหมาย 
    รองนายกฯ บอกว่า หลังจากมีกฎหมายลูกเกี่ยวกับยุทธศาสต์ชาติ ก็มีการตั้งคณะกรรมการยกร่างยุทธศาสตร์แต่ละด้าน ล่าสุดที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ชาติเสร็จแล้ว และจะส่งให้ สนช.พิจารณาในสัปดาห์หน้า หาก สนช.ให้ความเห็นชอบ ก็จะมีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้เป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรก โดยจะมีอายุ 20 ปี ตั้งแต่ 20 ปี 2561-2580 แม้ยุทธศาสตร์ชาติจะเป็นแผนระยะยาว แต่ก็สามารถแก้ไขได้ตามขั้นตอน หากมีสถานการณ์ที่จำเป็น หรือแก้ตลอด 5 ปี หากส่วนราชการไม่ทำตามยุทธศาตร์ชาติที่กำหนดไว้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์จะส่งหนังสือเตือนและให้ชี้แจง  หากชี้แจงแล้วฟังไม่ขึ้น ก็จะส่งเรื่องให้ สนช.อภิปราย และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แม้จะไม่ใช่การทุจริต แต่ก็ถือว่าฝ่าฝืนไม่ทำตามกฎหมาย ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะทำให้การทำตามยุทธศาสตร์ชาติขึงขังขึ้น  
    นายวิษณุกล่าวถึงการดำเนินงานหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.53/2560 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญว่า ทุกอย่างก็เดินไปตามคำสั่ง ตอนนี้ก็รอร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.มีผลบังคับใช้ โดย คสช.อยากเห็นการประชุมพรรคการเมืองจะมาเท่าไรก็ได้ และหารือในส่วนที่คุยกันได้เพื่อได้แนวทางที่จะไปทำต่อ เช่น เรื่องไพรมารีโหวต การปลดล็อก และการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งหาก คสช.เห็นว่าจำเป็น ก็พร้อมจะประชุม  จึงอาจมีการประชุมอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกอาจเกิดภายในเดือน มิ.ย.นี้ ส่วนอีกครั้งอาจจะเกิดหลังจากร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งเป็นไปตามคำปรารภของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ผลการประชุมเหมือนโรดแมปเล็กกำหนดแนวทางให้ทุกฝ่ายไปปฏิบัติ
      เขาบอกว่า ในวันนี้ได้พบกับ กกต. มีการพูดคุยถึงประเด็นที่ต้องการหารือแล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดวันนัดหมายที่ชัดเจน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นก่อนการประชุมกับพรรคการเมือง โดยที่ประชุมจะประกอบด้วยตนในฐานะตัวแทนรัฐบาล เลขาฯ คสช.ที่เป็นตัวแทน คสช. เลขาธิการ กกต. ที่เป็นตัวแทน กกต. และตัวแทนจากกฤษฎีกาด้วย โดยบทสรุปที่ได้จะเป็นข้อเสนอถึงแนวทางแก้ไข เช่น จะต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 หรือไม่ หรือจะแก้ไขพระราชบัญญัติใด หรืออาจไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย แต่กำหนดร่วมกันเพื่อสร้างความชัดเจนให้เกิดการปฏิบัติได้ 
วัฒนาลั่นจะด่ามีปัญหามั้ย
    ด้านนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้ทางสำนักงานรวบรวมประเด็นที่เป็นปัญหาอุปสรรค รวมถึงแนวทางในการแก้ไขเพื่อนำไปหารือ เช่น เรื่องพรรคที่ไม่สามารถหาสมาชิกได้ การไม่สามารถจัดประชุมเพื่อไปตั้งสาขาพรรคได้ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างพรรคการเมืองใหม่และพรรคการเมืองเก่า โดยก็ต้องทำให้เร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพรรคการเมืองมากขึ้น ซึ่งการนัดหมายขึ้นอยู่กับรัฐบาล เพราะ กกต.พร้อมตลอด แต่ก็มีสิทธิเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
    พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดเลือกตั้งท้องถิ่นว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นการเตรียมความพร้อมของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะเรื่องบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนการจัดเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของ กกต. ซึ่งต้องรอการยกร่างกฎหมาย 6 ฉบับของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน  2 เดือน หรือประมาณเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นนำเข้า ครม.และ สนช. เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะจัดการเลือกตั้งได้ภายใน 45 วัน 
    “นายกฯ จะเป็นผู้พิจารณาวันเวลาที่เหมาะสม หากยึดตามกรอบเวลาแล้ว การเลือกตั้งอยู่ในช่วงของปลายปี คือเดือนธันวาคมอาจไม่เหมาะสม ดังนั้น ทุกอย่างจะต้องมีความพร้อมทุกด้าน” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
    วันเดียวกัน ที่สำนักงาน กกต. นายสิระ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดงสกลนคร พร้อมด้วยแกนนำจดจัดตั้งพรรครวม 21 คน เดินทางเข้ายื่นจดแจ้งจัดตั้งพรรคเพื่อนไทย โดยเป็นพรรคลำดับที่ 107 ที่มีการยื่นจดจัดตั้งต่อ กกต. โดยใช้ตัวย่อ พ. ส่วนสัญลักษณ์พรรค ใช้ พ.สีแดง มีแถบธงชาติคาดเฉียง ลักษณะคล้ายสัญลักษณ์พรรคเพื่อไทย 
    โดยนายสิระกล่าวว่า มั่นใจว่าภายหลังจัดตั้งพรรคเสร็จแล้ว จะมีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยกว่า 20-30 คน มาอยู่กับพรรค รวมถึงนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย ก็มีความสนใจที่จะมาอยู่กับพรรคตนด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังได้รับอนุญาตจาก คสช.ให้จัดประชุมพรรคได้ ก็จะจัดประชุมที่ จ.บุรีรัมย์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ทางพรรคมั่นใจว่าจะสามารถส่ง ส.ส.ลงสมัครรับเลือกตั้งครบทั้ง 350 เขตทั่วประเทศ
    ขณะที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก หัวข้อว่า “จะด่า...มีปัญหามั้ย” ระบุว่า ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยเห็นใครแสดงความถ่อย กักขฬะ หรือแสดงพฤติกรรมแบบที่โบราณเรียกว่าไม่มีสมบัติผู้ดีติดตัวใส่พลเอกประยุทธ์ เช่น กินกล้วยเสร็จปาเปลือกกล้วยใส่ หรือตอบคำถามแบบกระโชกโฮกฮาก จึงทำให้ผมไม่เข้าใจที่พลเอกประยุทธ์กล่าวใน สนช.ทำนองข่มขู่ว่า “ตัวเองมีความเป็นมนุษย์สูง หรือนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติจะมาหมิ่นไม่ได้ อยากรักษาให้ตำแหน่งนี้มีเกียรติ หรือเวลาจะด่าตนให้ระวัง”
     "ผมเชื่อว่าคนทั้งโลกให้เกียรติกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้นำของฝ่ายบริหาร แต่จะต้องพิจารณาถึงการได้มาซึ่งตำแหน่ง รวมทั้งการปฏิบัติตัวของบุคคลนั้นด้วย เช่น มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือเป็นคนรักษาคำพูด หรือเป็นคนเคารพสิทธิของผู้อื่น หรือพูดจาสุภาพและไม่แสดงพฤติกรรมถ่อยหรือกักขฬะใส่บุคคลอื่น เป็นต้น หากบุคคลใดมีพฤติกรรมดังกล่าวย่อมจะมีคนให้เกียรติ อย่างน้อยจะไม่มีคนด่าลับหลังว่าทางบ้านไม่อบรมสั่งสอนหรือไม่มีสมบัติผู้ดี ทั้งยังไม่ต้องไปโพนทะนาให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองยังเป็นคน พลเอกประยุทธ์จึงต้องสำเหนียกว่า ตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่และอำนาจที่มีอยู่นั้นเป็นของประชาชน จะต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าทนฟังไม่ได้ ก็รีบคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วกลับไปอยู่บ้านรอหมายเรียก" นายวัฒนาระบุ
    นายรังสิมันต์ โรม แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ระบุว่า “สำหรับสำหรับผม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีของผม ไม่เคยเป็นแม้แต่วินาทีเดียว คนที่มาจากการรัฐประหาร ไม่ควรจะได้รับเกียรติที่จะได้รับความนับถือจากประชาชนว่าเป็นนายกฯ ผมคนหนึ่งจะยังคงเดินหน้าตำหนิท่านต่อไป".


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"