บันทึกหน้าสี่


เพิ่มเพื่อน    

www.thaipost.net เข้าใกล้ภาวะรัฐล้มเหลว รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ติดเชื้อรายวันสูงใกล้แตะระดับ 2 หมื่นคนต่อวัน ผู้เสียชีวิตพุ่งไปวันละไม่ต่ำกว่า 100 คน สถานการณ์ไวรัสหนักหนา กระแสแห่งความไม่พอใจ อยากขับไล่ ใกล้ปะทุถึงจุดเผชิญหน้า คาร์ม็อบเมื่อวันที่ 1 ส.ค. เป็นตัวสะท้อนอารมณ์ ความรู้สึก ถึงมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินควบคุมสถานการณ์ เป็นเพียงกระดาษเปื้อนหมึก ไม่มีใครเกรงกลัว ในโลกออนไลน์ยังอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อออกมาดังๆ ว่า ถ้ารัฐบาลปล่อยให้ชุมนุม ควรเลิกล็อกดาวน์ เลิก รพ.สนาม เลิกศูนย์พักคอย ให้บุคลากรทางการแพทย์พักผ่อนบ้าง กลับบ้านไปหาลูก หาครอบครัว เปิดให้ทำมาหากินตามปกติ ให้ขายยาฟาวิพิราเวียร์ในร้านยา ใครอยากฉีดวัคซีนก็ไปโรงพยาบาลจ่ายเงินเอง ใครติดก็ซื้อยากินเอง ใครตายก็เผา ไหนๆ ก็ห้ามอะไรใครไม่ได้แล้ว

                การบังคับใช้กฎหมาย ที่ทำได้แค่เฉพาะพวกเห็นต่าง ไม่แปลกใจยิ่งทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ยิ่งเหิม ลำพองใจ โดยเฉพาะแนวร่วมกลุ่มราษฎร ที่มี เพนกวิ้น-นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ อานนท์ นำภา เป็นแกนนำนัดหมาย การชุมนุมอีกครั้ง 7 ส.ค. เลือกเอาวันสัญลักษณ์วันปืนแตก ที่มีความหมายยิ่งต่อพวกมีแนวคิดต่อต้านรัฐ จัดชุมนุม ยกระดับ พร้อมขับไล่รัฐบาล แถมเป้าหมายทะลุเพดานยังคงอยู่ โดยเฉพาะบิ๊กกวิ้นที่โหมหนักกว่าเพื่อน ขีดเส้นก๊วน 3 ป. และรัฐมนตรีในองคาพยพ ลาออกจากตำแหน่ง ขณะในโลกโซเชียล ที่แกนนำใช้เป็นช่องทางหลักในการส่งสาร แจ้งความเคลื่อนไหว ออกโรงเย้ยหยัน โหมโรงกันสุดฤทธิ์ ส่วนกระแสการจับตัวแกนนำ ไผ่ดาวดิน-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา อาจมองได้สองแง่สองมุม หากทำให้ม็อบเบาบางลง หรือ จุดกระแสเร่งเร้าให้สู่ภาวะเผชิญหน้า แตกหักเร็วขึ้นก็เป็นได้  

                เกิดกระแสดรามา โลกออนไลน์ การจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ ที่ทางไทยได้รับบริจาคจากสหรัฐ จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่อาจจะกระจายไม่ทั่วถึง ข้องใจกระบวนการจัดสรร ที่ควรเร่งให้บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าจริง เป็นเหตุให้ นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ออกมาชี้แจงว่า จะมีการจัดสรรกระจายให้กับ 4 กลุ่ม คือ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงทั่วประเทศ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ช่วยงาน หรือพนักงานเก็บศพ จำนวน 700,000 โดส 2.จังหวัดที่มีการระบาด มีการควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จำนวน 13 จังหวัด 645,000 โดส 3.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทยและชาวไทยผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา รวม 150,000 โดส และ 4.ทำการศึกษาวิจัย จำนวน 5,000 โดส 

                ผลจากพิษร้ายโควิด ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คน ยังลามไปถึงเศรษฐกิจ เอสเอ็มอี ทยอยล้มหายตายจาก บางรายนับเวลาถอยหลัง บางรายแม้ยังรอดก็รวยริน ขาดสภาพคล่อง ไม่มีกระแสเงินสดมาหมุนเวียน แม้จะได้รับการยืดอายุผ่อนชำระหนี้จากธนาคาร หรือได้รับการเยียวยามาบ้าง แต่ก็ยังหนักอยู่ดี ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ ในกลุ่มสายการบินหุ้นดำดิ่ง ไทยแอร์เอเชีย รายได้เป็นศูนย์จากมาตรการห้ามบินภายในพื้นที่สีแดงเข้ม ในเดือน ก.ค.จ่ายเงินเดือน 50% ที่เหลือเลื่อนไปจ่าย ก.ย. รวมทั้งจะหยุดประกอบกิจการทั้งหมดเป็นการชั่วคราวในเดือน ส.ค.นี้เพื่อให้พนักงานทั้ง 100% ไปเข้าเงื่อนไขช่วยเหลือของประกันสังคม ตามมาด้วย นกแอร์ ที่ได้รับผลกระทบคำสั่งภาครัฐ ล็อกดาวน์ทั้ง 29 จังหวัด ได้ยกเลิกเที่ยวบินทุกเส้นทาง ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. เป็นต้นไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"