มันเป็นเช่นนั้นเอง-มันเป็นพรรค์นั้นแหละ


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                                                                                                          (1)

            ในตำรับ ตำรา ในคำพูด คำจา หรือคำ เทศนา ของพวกพระๆ  ตามแนวทางของศาสนาพุทธของหมู่เฮานั้น ว่ากันว่าในช่วงระหว่างการ ทำสมาธิ หรือระหว่างการ หลับตา สูดลมหายใจเข้าๆ-ออกๆ ยุบหนอ-พองหนอ ไปตามแบบฉบับ ตาม สไตล์ ของใคร-ของมันก็แล้วแต่ มันอาจก่อให้เกิด ภาพ เกิด ความคิด หรือเกิด นิมิต ในลักษณะใด ลักษณะหนึ่ง โผล่ขึ้นมาได้เสมอๆ...

                                                                                                                                                (2)

            จริง-ไม่จริง...อันนี้ คงต้องไปลองฝึก ลองหัด กันเอาเอง เพราะสำหรับ อันตัวข้าพเจ้าเอง แล้ว ส่วนใหญ่มักจะหนักไปทางหลับสนิทนิทรา สิ้นสติสมประดี ในชั่วไม่กี่นาที กี่วินาที หงายท้องตึง สลบเหมือด ชนิดแทบไม่รู้ว่า ภาพ หรือ ความคิด หรือ นิมิต ใดๆ ก็ตาม มันจะผุดๆ โผล่ๆ ขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร ตอนไหน เมื่อไหร่ อันเป็นเหตุให้หนีไม่พ้นต้องหันมา ลืมตา ทำสมาธิกันแทนที่ เพื่อให้พอมีโอกาสได้เห็น ภาพ เห็น ความคิด เห็น นิมิต ต่างๆ นานา ที่มันวิ่งไป-วิ่งมา อุบัติขึ้นมาตามความเป็นไปของสรรพสิ่ง ตามฉากสถานการณ์ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ นั่นแล...

                                                                                                                                                (3)

            แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะ หลับตา หรือ ลืมตา ถ้าว่ากันตามตำรับ ตำรา ตามคำพูด คำจา ตามคำเทศนาของพวกพระๆ ท่านมักชี้แนะ ชี้นำ ให้พยายามนำเอา ภาพ เอา ความคิด หรือเอา นิมิต เหล่านี้ มาเพ่งพินิจ พิจารณา มาใคร่ครวญหวนคิด โดยอาศัย สติ และ ปัญญา ของใคร-ของมันไปตามสภาพ อย่าพยายามไปฝืน พยายามไม่คิด ไม่มอง ไม่เห็น อะไรทำนองนั้น เพราะนอกจากเป็นไปไม่ได้แล้ว ยังถือเป็นการทรมานสังขารตัวเอง ขัดกับความเป็นไปตามธรรมชาติ ขัดกับความเป็นจริง เผลอๆ...อาจถึงขั้น ไฟธาตุแตก เอาง่ายๆ!!!

                                                                                                                        (4)

            แต่ก็นั่นแหละ...ในการเพ่งพินิจ พิจารณา การใคร่ครวญหวนคิด ถึง ภาพ ถึง ความคิด ถึง นิมิต ที่มันไหลเข้ามาสู่ ผัสสะ หรือสู่ ประสาทสัมผัส ต่างๆ ไม่ว่าหู-ตา-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมหนีไม่พ้นต้องก่อให้เกิดการ Concoct หรือการ ปรุงแต่ง ไปกับ ภาพ กับ ความคิด กับ นิมิต นั้นๆ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย ซึ่งไม่ว่ามันจะปรุงไปในรูปไหน แบบไหน จะใส่ข่า ใส่ตะไคร้ ใส่โหระพา เติมน้ำปลา เติมผงชูรส พริก มะนาวฯ ลงไปในสูตรใด ต่อสูตรใด ก็เถอะ แต่สุดท้าย...มันก็จะได้อาหารจานด่วน หรืออาหารชาววัง ออกมาเพียงแค่ 2 รูป 2 แบบเท่านั้น คือแบบที่เป็นไปในทาง บวก หรือแบบที่เป็นไปในทาง ลบ แบบที่ ขาว กับแบบที่ ดำ แบบที่ ชอบ กับแบบที่ ชัง ฯลฯ หรือแบบที่หนีไม่พ้นต้องโน้มเอียงไปสู่ ขั้วใดขั้วหนึ่ง ที่มักจับกันไปเป็นคู่ๆ ตามลักษณะความเป็นไปทางธรรมชาติ หรือตามความเป็นจริงทางธรรมชาติ นั่นแล...

                                                                                                                                                (5)

            อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้พวกพระๆ ท่านเตือนๆ เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าอย่า ไหล หรืออย่า โน้มเอียง ไปในทางหนึ่ง ทางใด โดยเด็ดขาด!!! ให้มอง ให้เพ่ง ให้พินิจ พิจารณา ลึกลงไปจนกว่าจะมองเห็น สิ่งที่ ไม่บวก-ไม่ลบ ไม่ขาว-ไม่ดำ ไม่ชอบ-ไม่ชัง ไม่มืด-ไม่สว่าง ฯลฯ หรือ ไม่จับกันเป็นคู่ๆ อีกต่อไป ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น...คงต้องไปนั่งสมาธิ ตั้งสมาธิกันเอาเอง แต่บรรดาพวกพระๆ ท่านสรุปเอาไว้ประมาณว่า เป็นสิ่งที่อยู่ เหนือโลกย์ หรือ เหนือธรรมชาติ หรือเป็น ธรรมชาติที่อยู่เหนือการปรุงแต่ง ฯลฯ อะไรทำนองนั้น อันจะนำมาซึ่งความสงบ  ความสะอาด ความสว่าง ความเย็น ฯลฯ ชนิดไม่ต้องเสียเวลากลับมาเกิดเป็น สุธี...สามสี่ชาติ เอาเลยก็ไม่แน่...

                                                                                                                                                (6)

            จริง-ไม่จริง...คงต้องไปฝึก ไปหัด ไปทดลองกันเอาเอง แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เป็น ความคิด เป็น นิมิต ใดๆ ก็แล้วแต่ ที่อุบัติขึ้นมาขณะที่ หลับตา หรือ ลืมตา หรือไม่ อย่างไรก็ตามที มันมักฉุดกระชากลากถูให้หนีไม่พ้นต้อง ไหลไป-ไหลมา ตามอารมณ์-ความรู้สึกที่ออกไปทาง บวก ทาง ลบ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพในแง่บันเทิง เริงรมย์ กีฬง กีฬา  ไปจนการบ้าน การเมือง ฯลฯ โน่นเลย มักก่อให้เกิดความซู้ดๆ ซ้าดๆ  ซี้ดๆ ซ้าดๆ จนหนีไม่พ้นต้องบิดไป-บิดมาไปตามสภาพ การวนไป-วนมาอยู่กับอาการ บวก อาการ ลบ อาการ ชอบ อาการ ชัง ไปจนถึงอาการ รัก อาการ เกลียด ฯลฯ จึงกลายเป็นเรื่อง ปกติธรรมดา ของโลกและของโลกย์ ของมวลมนุษย์ทั้งหลายที่คงต้องเกิดๆ-ตายๆ กันอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ถึงอาจพอมองเห็นอะไรต่อมิอะไรอย่างที่พวกพระๆ ท่านได้ชี้แนะ ชี้นำเอาไว้...

                                                                                                                                    (7)

            แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มันดันไม่เป็นไปตามที่ตัวเอง ไหลไป-ไหลมา ไม่เป็นไปตามความปรารถนาความต้องการของ ตัวกู-ของกู ถึงยังมองไม่เห็นสิ่งซึ่งอยู่เหนือไปจากโลก เหนือไปจากธรรมชาติ อย่างที่พวกพระๆ ท่านชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ แต่ก็น่าที่จะพอใคร่ครวญ พิจารณา ได้ไม่ยากว่า มันคงลำบากเอามากๆ...ที่จะไปควบคุม บงการ ให้แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการจะให้เป็นในทุกเรื่อง ทุกกรณี คือแค่ไม่ให้ต้องเกิด-ต้องเป็นอยู่-ต้องตาย หรือต้องเปลี่ยนแปลงไป แค่นี้...ก็ เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย อยู่แล้วแน่ๆ!!! ดังนั้น...ถ้าหากยัง ไม่เชื่อพระ ก็คงต้องหันไป ทำใจ ยอมรับสภาพต่ออะไรก็ตามที่มันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ หรือ กฎอนิจจลักษณะ อย่าถึงกับต้องไปดิ้นรน กระวนกระวาย ให้มากเรื่อง มากความ เพราะสุดท้าย...มันย่อมต้อง เป็นเช่นนั้นเอง หรือ เป็นพรรค์นั้นแหละ อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...

                                                                    ---------------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"