ว่าด้วย...การออกจากวัตถุนิยม (5)


เพิ่มเพื่อน    

(1)

ปิดท้ายวันอาทิตย์สุดสัปดาห์นี้...คงต้อง “เทศน์ต่อ”ว่าด้วยเรื่อง “การออกจากวัตถุนิยม”ที่อุตส่าห์ลงทุนเทศน์มาแล้วเกือบสี่-ซ้าห้าตอนด้วยกัน และดังที่ว่าเอาไว้ในตอนที่แล้วนั่นแหละว่า เมื่อ “เรือปืน”ของพวกฝรั่งยุโรปออกไปเพ่นพ่านอยู่ทั่วทั้งโลก ย่อมไม่เพียงส่งผลให้ผู้คนทั่วทั้งโลก หันมาแต่งตัวแบบฝรั่ง กิน-อยู่-หลับ-นอนแบบฝรั่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังต้องหันไป “คิด”แบบฝรั่ง ไม่ว่าจะในเรื่องการเมือง-เศรษฐกิจ-การศึกษา หรือแม้แต่วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ แนวคิดแบบ “วัตถุนิยม”มันจึงทะลักหลั่งควั่งพรู เข้ามากัดกร่อน กลืนกิน แนวคิดทางศาสนาแทบทุกศาสนา ที่มี “ความรู้ทางจิต”เป็นตัวรองรับ จนชักจะ “ไปไม่เป็น”กันในแทบทุกศาสนาเอาเลยก็ว่าได้...

(2)

พูดง่ายๆว่า...เมื่อ “วิถีชีวิต” สภาพแวดล้อม ทรัพยากรต่างๆ ฯลฯ มันถูกพลิก ถูกเปลี่ยน ไปหมดแล้ว “ความคิด”อันเป็นผลพวง หรือเป็นสิ่งซึ่งเกิดจากการ “ปรุงแต่ง”ไปตามสภาพแวดล้อมทั้งหลาย มันย่อมต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ “ความเชื่อในทางวิทยาศาสตร์”ที่ไม่ได้หมายถึง “ความจริงทางวิทยาศาสตร์”เสมอไป แบบที่ “ทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วิน”ได้วางรากฐานเอาไว้ให้ อันไม่ได้ต่างอะไรไปจากแบบที่พวก “จารวาก”ในอินเดีย พวกนักคิดบางกลุ่ม บางเหล่า ในจักรวรรดิกรีก เคยนำเสนอเอาไว้นับเป็นพันๆปีที่แล้ว มันจึงหวลฟื้นกลับคืนขึ้นใหม่ และกลายเป็นตัวดึงดูดเอาใครต่อใครให้ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวคิด “วัตถุนิยม”ทั้งโดยรู้ตัว-ไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นนักปกครอง นักการเมือง เศรษฐกิจ นักการศึกษา ฯลฯ ไปจนถึงปุถุชนคนธรรมดา ก็ไม่มีข้อยกเว้น...

(3)

สรรพสิ่งต่างๆไม่ว่าทั่วทั้งโลก ทั่วทั้งจักรวาล จึงถูกมอง ถูกคิด ถูกปรุงแต่ง ไปตามอิทธิพลแนวคิดแบบ “วัตถุนิยม”นั่นแหละเป็นหลัก หรือเป็นไปอย่างที่นักคิด นักวิชาการ อย่างนาย “เดวิด ซี. คอร์เท็น” (David C. Korten) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “โลกยุคหลังบรรษัท-ชีวิตหลังทุนนิยม” (The Post-Corporate World: Life After Capitalism) ได้บรรยายไว้ในช่วงหนึ่งของในหนังสือเล่มนี้นั่นแหละว่า เกือบ 300 ปีที่สังคมตะวันตกและทั่วทั้งโลก ต่างถูกอิทธิพลความคิดที่สืบต่อมาจากกฏพื้นฐานวิชาฟิสิกส์ของสำนักนิวตัน ทำให้มองจักรวาลทั้งจักรวาลไม่ต่างอะไรไปจาก “เครื่องลานนาฬิกาขนาดยักษ์ ที่นายช่างใหญ่ผู้สร้างนาฬิกาได้ไขลานไว้แต่แรก และปล่อยให้เดินไปเรื่อยๆตามกาลเวลาจนกว่าจะหมดลาน ไม่ต่างจากจักรวาลที่ตายแล้วและสูญเปล่า”และ “สสารคือความจริงเพียงสิ่งเดียว”ขณะที่ “จิตสำนึกเป็นเพียงภาพลวงตา ชีวิตเป็นแค่ผลลัพธ์โดยบังเอิญจากความซับซ้อนทางวัตถุ ส่วนมนุษย์ก็เป็นเพียงสิ่งที่วิวัฒนาการมาจากผ่าเหล่าทางพันธุกรรมโดยบังเอิญอีกเช่นกัน อันทำให้ภายใต้การต่อสู้แข่งขัน ผู้เหมาะสมเท่านั้นที่อยู่รอดและรุ่งเรือง ส่วนผู้อ่อนแอกว่าและมีคุณค่าน้อยกว่าต้องมีอันสูญสิ้นไป ไม่มีความหมายหรือจุดประสงค์ใดๆทั้งในทางจิตสำนึก หรือวิถีชีวิต การเอาชนะ การครอบครอง เพื่อความอยู่รอดเป็นกฏพื้นฐานของธรรมชาติ ที่เราไม่อาจคาดหวังให้มนุษย์เป็นอะไรได้มากไปกว่าสัตว์ร้ายที่เหี้ยมโหด ที่มีแรงขันดันตามสัญชาติพื้นฐานเพื่อการอยู่รอด การสืบทอดเผ่าพันธุ์ การแสวงหาความสุข รอดพ้นจากความเปล่าเปลี่ยว โดยอาศัยความอิ่มเอมทางวัตถุเป็นตัวตอบสนอง...ฯลฯ”

(4)

เรียกว่า...ตรงตามแบบฉบับพวก “จารวาก”ในอินตะระเดียเมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว แบบเป๊ะๆๆ ที่เคยวางแนวทาง หลักการแห่งความเชื่อของตัวเองเอาไว้ประมาณว่า... “ความสุขในชีวิตเกิดจากการแสวงหาเอาเอง ไม่ใช่เกิดเพราะอำนาจใดๆบันดาลให้ จึงไม่ควรอ้อนวอนพระเจ้า ไม่ควรทำพิธีทางศาสนา แต่จงกิน จงดื่ม จงรื่นเริงด้วยทรัพย์สมบัติที่พึงหาได้ในชีวิตนี้เถิด อย่าคิดว่าวันพรุ่งนี้จะมีเหมือนวันนี้ ผู้ใดก็ตามที่แสวงหาความรื่นเริงในวันนี้ได้มากที่สุด ผู้นั้น...ย่อมได้ชื่อว่าปฏิบัติถูกต้อง ที่เรียกว่าสัมมมาปฏิบัติแล้ว...” วัตถุนิยมเมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว กับวัตถุนิยมทุกวันนี้ มันจึงไม่ได้ต่างอะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่ามันจะถูกประดิษฐ์ ประดอย ถักทอบูรณาการขึ้นมาใหม่ด้วยกรรมวิธีใดๆก็ตาม...

(5)

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “อภิมหาพระ”อย่าง “ท่านพุทธทาสภิกขุ”ท่านจึงตั้งมั่น ตั้งปณิธาน หวังที่จะชักลากใครต่อใครออกมาจาก “วัตถุนิยม”ให้จงได้ เหมือนอย่างที่ “พุทธศาสนา”และศาสนาต่างๆ เคยกวาดล้างสิ่งเหล่านี้ให้หมดสภาพลงไปเมื่อไม่รู้กี่พันต่อกี่พันปีที่แล้ว ส่วนจะทำได้มาก-น้อยเพียงไหน นั่นย่อมขึ้นอยู่กับว่า...จะสามารถฟื้นฟู “องค์ความรู้ทางจิต”ให้กลับมามีบทบาท อิทธิพล ต่อความคิด จิตสำนึก ของผู้คนในยุคปัจจุบันได้เพียงใด ไม่ว่าจะโดยอาศัยศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม หรือศาสนาใดๆก็ตามแต่ ที่ล้วนแล้วแต่มี “วัตถุนิยม”เป็น “ศัตรูร่วม”ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือแม้แต่จะหันไปอาศัย “ความจริงทางวิทยาศาสตร์”ที่ไม่ใช่แค่ “ความเชื่อทางวิทยาศาสตร์”ก็ยังพอได้.                                     

                                                     


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"