ขุนคลังรื้อบอร์ด'ยาสูบ' ไม่ปลื้มทำงานไม่เข้าเป้า


เพิ่มเพื่อน    

ครม. สั่งรื้อบอร์ด กยท. พร้อมส่งนักการเงินมือดี “ระเฑียร” นั่งประธานคุมแก้ปัญหาการดำเนินงานครั้งใหญ่ เชื่อ กยท. ยังมีศักยภาพแข่งขันได้ แต่ติดฝ่ายบริหารปรับตัวช้า

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรล่าสุดได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งคณะกรรมการการยาสูบแห่งประเทศไทย (กยท.) ชุดใหม่ โดยให้นายระเฑียร ศรีมงคล อดีตผู้บริการ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานกรรมการ  พร้อมทั้งตั้งนายลวรณ แสงสนิท และนายยุทธนา หยิมการุณ ผู้ตรวจกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ ผู้แทนกระทรวงการคลัง  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่  17 ก.ค. 2561เป็นต้นไป

“นายอภิศักดิ์ ต้องการให้นายระเฑียร เข้าไปแก้ไขปัญหาการดำเนินการของ กยท. ครั้งใหญ่ เป็นการเร่งด่วน หลังจากแปลงสภาพเป็นนิติบุคคล และที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่สูงขึ้น ทำให้ยอดขายบุหรี่ลดลง จนทำให้ผลกำไรที่เคยมีจำนวนมากกลายเป็นขาดทุนในอนาคต” แหล่งข่าว กล่าว

แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า นายอภิศักดิ์ เชื่อว่า กยท. ยังมีศักยภาพที่จะแข่งขันได้ แต่ที่ผ่านมาผ่ายบริหารยังปรับตัวช้า และมีผู้บริหารและพนักงานบางส่วนไม่ยอมปรับตัว และพยายามกดดันให้กระทรวงการคลังแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิตให้กลับไปเก็บภาษีแบบเดิม หรือขยายเวลาการขึ้นภาษีรอบใหม่ในปีหน้า ซึ่งนายอภิศักดิ์ ไม่เห็นด้วยจึงได้มีการขอ ครม. เปลี่ยนคณะกรรมการใหม่ทั้งชุด และส่งนายระเฑียร เข้าไปเป็นประธานเพื่อดูเรื่องการปรับโครงสร้างทางการเงินและการตลาดของ กยท. ทั้งหมด

สำหรับปัจจุบันภาษีบุหรี่ตามกฎหมายสรรพสามิตใหม่ปี 2560 เก็บตามปริมาณ 1.20 บาทต่อมวน และตามมูลค่า 20% สำหรับบุหรี่ราคาซองละไม่เกิน 60 บาท และ 40% สำหรับบุหรี่ที่ราคาเกินซองละ 60 บาท และในวันที่ 1 ต.ค. 2562 จะเก็บตามมูลค่าเป็นอัตราเดียวกันหมดที่ 40% ซึ่งหาก กยท. ไม่เร่งปรับโครงสร้างการบริหาร การเงิน และการตลาดเสียใหม่ตั้งแต่วันนี้จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ผ่านมานายอภิศักดิ์ ยังไม่พอใจการทำงานของผู้บริหาร กยท. ที่ประกาศไม่รับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ จนมีการรวมตัวประท้วงและไปยื่นหนังสือที่ศูนย์ดำรงธรรม ทำให้กระทรวงการคลังต้องสั่้ง กยท. บริหารสต๊อกยาสูบและรับซื้อใบยาจากชาวไร่ตามปกติ

ขณะเดียวกันที่ผ่านมา กยท. ได้แจ้งว่ามีผลการดำเนินงานปี 2560 กำไร 9 พันล้านบาท  และคาดว่าในปี 2561 จะขาดทุน 1.5 พันล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับผลประกอบการจริงในรอบครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2561 ที่มีกำไร 588 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 88% ที่มีกำไร 4.72 พันล้านบาท แม้ว่า กยท. จะมีส่วนแบ่งตลาดถึง 60%  แต่ได้รับผลกระทบจากการที่กำไรต่อซองลดลง จากเดิม 7 บาท เหลือเพียง 10 สตางค์ ทำให้รายได้ส่วนใหญ่หายไปถึงเกือบ 6 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตามล่าสุด กยท. ยังได้ทำเรื่องขอกระทรวงการคลังจ่ายโบนัสให้กับพนักงานสำหรับผลการดำเนินปี 2560 ที่ผ่านมาถึง 4 เดือน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการรับซื้อใบยาสูบจากชาวไร่ ทำให้นายอภิศักดิ์ ไม่พอใจ เพราะเห็นว่าเป็นคนละเรื่องกันไม่ควรน่ามาผสมรวมกันทำให้การบริหารงานขององค์กรไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นผลดีกับประเทศในที่สุด

ด้านนายกฤษณ์ ผาทอง นายาสมาคมผู้บ่ม และผู้ค้าใบยาสูบ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า หากภายในสิ้นเดือนนี้ กยท. ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการซื้อใบยาจากชาวไร่ ทางตัวแทนจะรวมตันกันเพื่อขอพบผู้บริหาร กยท. เพื่อขอคำชี้แจงในเรื่องดังกล่าว เพราะจะต้องเริ่มกระบวนการเพราะปลูกแล้ว


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"