สนุกกับการใช้ชีวิตในวัย50อัพ งานเพื่อสังคม“แต่งหน้าผู้ล่วงลับ”


เพิ่มเพื่อน    

   “การใช้ชีวิตในวัย 50 ปีของทุกคนอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะต่างคนต่างเกิดมาเพื่อเลือกใช้ชีวิตของตัวเองว่าจะให้เป็นแบบไหน แต่สำหรับพี่เลือกที่จะใช้ชีวิตมีความสุข” คำพูดจาก พี่จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ดาราชื่อดังและพิธีกรมากความสามารถวัย 53 ปี ที่โลดแล่นมาในวงการมาตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ที่ปัจจุบันนอกจากผลงานทางหน้าจอทีวีแล้ว เจ้าตัวได้เผยในงาน “รุ่นใหญ่ไฟกะพริบ” ที่จัดขึ้นโดย สสส. ว่าได้ใช้เวลาว่างในการเป็นจิตอาสา “แต่งหน้าศพ” ให้กับผู้ที่ล่วงลับมานานร่วม 4 ปี งานกุศลที่ไม่เพียงส่งคนเสียชีวิตไปสู่สุคติด้วยใบหน้าที่แจ่มใส แต่ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งความกลัวและความไม่ปีติของคนทั่วไปที่จะเลือกทำ 
    ในมุมกลับกัน นักแสดงรุ่นใหญ่ยกให้ “ผู้สูงวัยเป็นของสูง” เนื่องจากใช้ชีวิตผ่านร้อนหนาวมามาก กระทั่งถึงจุดสุดท้ายของชีวิตโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ และกำลังจะเดินทางไปสวรรค์ ซึ่งต่างจากผู้ที่มีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อดำรงชีพ...ทว่างานจิตอาสาดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างของคนวัยหลัก 5 หลัก 6 ที่สามารถทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมได้ตามกำลัง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดังหรือมีชื่อเสียง เพียงขอให้ใจมีคำว่า “เสียสละ” เพื่อผู้อื่นก็เพียงพอแล้ว
    พี่จิ๊ก เล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการเป็น “จิตอาสาแต่งหน้าศพ” ที่เริ่มมาจากกจุดหนึ่งที่เรียกกันว่า “อิ่มตัว” สำหรับตัวเอง ประการต่อมา "พี่เป็นคนมีพลัง แต่จะไม่ค่อยคิดอย่างคนอื่น และก็คิดตรงนี้มานานแล้ว เพราะพี่ชอบทำอะไรในที่มืดๆ และอันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรในที่สว่างเสมอไป ซึ่งคำว่าในที่มืดก็หมายถึงว่า คนไม่ต้องรับรู้ว่าเราทำอะไร ตรงไหน และคนที่เราทำให้ก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาขอบคุณ ไม่ต้องลุกขึ้นมาโต้ตอบกับเรา แต่ขอให้หลับไปนิ่งๆ ซึ่งเขาอาจจะเห็นเรายืนอยู่ในวาระสุดท้าย แม้ว่าเราจะรู้จักกันหรือไม่ก็ตาม ตรงนี้พี่อยากให้เขาขึ้นสวรรค์ค่ะ" 
    “การเป็นจิตอาแต่งหน้าศพ พี่ทำมา 3 ปี และปีนี้เข้าสู่ปีที่ 4 โดยเริ่มจากที่เราเป็นจิตอาสาเข็นรถวีลแชร์ให้กับผู้ป่วย กระทั่งผู้ป่วยท่านนั้นได้เสียชีวิต จึงมาเป็นจุดเริ่มต้นในการได้ทำงานจิตอาสาแต่งหน้าศพ สำหรับการแต่งหน้า ถ้ารวมๆ แล้วก็แต่งมาประมาณ 100 กว่าศพแล้ว เมื่อก่อนนี้ไปแต่งที่ รพ.รามาฯ แต่ตอนนี้พี่สามารถไปแต่งตามวัดได้ ถ้าหากมีญาติคนที่เสียและตามพี่ไป โดยจะดูเวลาว่ารดน้ำศพกี่โมง พี่ก็จะไปวัดที่วัดนั้นถ้ามีเวลา ซึ่งพี่จะคิดอยู่เสมอว่า การที่เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องไม่เบียดเบียนตัวเองก่อน เพราะถ้าเราเบียดเบียนตัวเอง เราก็จะทุกข์ พี่ก็จะใช้วิธีดูคิว แล้วถ้ามันว่างและวันไหนสบายๆพี่ก็จะไปเลย พี่ว่ามันต้องจูนตรงกันให้หมดมันถึงจะได้แต่ง เพราะสำหรับพี่ “ศพเป็นของสูง” เนื่องจากว่าเขาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว และเขาก็กำลังจะเดินไปสวรรค์ ดังนั้นที่เหลือจากนี้เขาไม่ต้องมานั่งรับผิดชอบเหมือนกับเรา เขาจึงอยู่สูงแล้ว เราก็ต้องจูนให้ตรงกันถึงจะได้แต่งค่ะ”
    พี่จิ๊กบอกอีกว่า ในระยะเวลาอาทิตย์หนึ่งจะได้แต่งหน้าศพเป็นเวลา 1 วัน แต่ไม่ทั้งวัน เพราะแต่งเร็วมาก ประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง หรือถ้าแต่ง 1 ชั่วโมงก็จะหลายหน้า แต่ถ้า 30 นาทีก็แต่งหน้าเดียว แต่ต้องเป็นสไตล์ที่ค่อนข้างง่าย และต้องไม่แช่น้ำแข็งหลายวัน เพราะหากแช่น้ำแข็งนานก็จะใช้เวลาแต่งนานเป็นพิเศษ 
    “สไตล์ของพี่จิ๊กก็จะไม่แต่งเยอะ เอาง่ายๆ ว่าเวลาที่รดน้ำศพแล้วให้ดูดี ให้เหมือนเขานอนหลับและยิ้มเดินทางไปสู่สวรรค์ พี่จะไม่ทาปากแดง พี่อยากให้แบบซอฟต์ๆ เพื่อปกปิดความซีด ความคล้ำ เพราะคนที่เสียชีวิตแล้ว เลือดของเขาก็จะไม่เดิน ผิวพรรณจะเปลี่ยนสี เลือดคนไม่เหมือนกัน เวลาที่เราไป หน้าคนจะจืด จะคล้ำ จะขาว มันก็จะแสดงออกตรงนี้ ฉะนั้นพี่จะต้องใช้ครีมรองพื้นให้ถูกกับใบหน้าของเขาด้วย แต่งให้น้อยเหมือนกับเขานอนหลับไป และก็ทำผม พร้อมกันแต่งเนื้อแต่งตัวให้ด้วยค่ะ”
    ทว่างานจิตอาสา “แต่งหน้าศพ” เป็นงานที่มีเกียรติ ถือเป็นการสร้างบุญกุศล และต้องมีบุญวาสนาที่ตรงกันจึงจะได้พบกัน สิ่งสำคัญยังเป็นงานที่ต้องอาศัยความกล้าพอสมควรกับการยืนแต่งหน้าผู้ล่วงลับ ที่บางครั้งอาจจะไม่มีญาติอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งต้องทำเพียงลำพัง อีกทั้งเป็นภารกิจที่น้อยคนจะเลือกทำ ประกอบกับพี่จิ๊กเป็นคนขี้กลัว แต่ปัจจุบันเอาชนะความกลัวและทำหน้าที่ได้อย่างภาคภูมิใจ เพื่อส่งผู้เสียชีวิตไปสวรรค์ด้วยใบหน้าที่แจ่มใสงดงาม โดยสิ่งที่ทำนั้นปราศจากเรื่องของ “อามิสสินจ้าง” 
    “ต้องบอกเลยว่าพี่เป็นคนที่กลัวผีมาก แต่พี่ก็กล้าจะทำในสิ่งที่พี่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยการขอเลือกทำในจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดที่น้อยคนมากจะทำ เพราะจุดนี้มี 2 เรื่องหลักคือ อันที่หนึ่งคือ ‘คนรังเกียจ’ และจุดต่อมาคือ ‘คนกลัว’ แต่ถ้าเราสามารถรวบรวมจิตใจได้ว่าไม่รังเกียจและไม่กลัว เราก็จะสามารถยืนอยู่หน้าเขาได้ บางครั้งก็มีญาติยืนอยู่ แต่บางครั้งก็ไม่มี แต่เราก็ต้องแต่งให้เสร็จ และก็ห่มผ้าให้สวยงาม จัดให้ผู้เสียชีวิตดูดีที่สุด เพื่อที่ญาติจะได้รับศพ ไปบำเพ็ญกุศลก่อนบ่าย 2 โมง
    ในส่วนเรื่องของรายได้จากการเป็นจิตอาสาดังกล่าว พี่ต้องขอบอกเลยว่า ทุกครั้งที่พี่ไปแต่งหน้าศพ เจ้าภาพงาน หรือทางญาติที่จัดงานชอบให้เงินกับพี่ พี่ขอบอกเลยว่า พี่โกรธมาก เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่แต่งหน้าศพเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง มันไม่ใช่นะคะ พี่อยากประกาศไว้ตรงนี้เลย ว่าถ้าให้เงินพี่จะโกรธมาก และก็ว่าเจ้าภาพไปหลายเจ้าแล้วว่าอย่าให้เงินเรา อย่าทำอย่างนี้กับพี่ เพราะพี่ยังสามารถทำงานได้อีกเยอะ ไม่ได้มาแต่งหน้าเพื่อหากินกับศพเพื่อเลี้ยงชีพ แต่ให้คิดว่าพี่มีเจตนาดี ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่รู้จัก จงลืมเรื่องเงินไปเลย ซึ่งเจ้าภาพหลายที่อาจจะบอกว่า ไม่ใช่ค่าแต่งหน้า แต่เป็นค่าเสียเวลา บอกเลยว่าไม่จำเป็นค่ะ คุณจะอยู่ใกล้อยู่ไกล พี่ยินดีที่สุดกับการทำหน้าที่นี้แล้ว ถ้าเราว่าง ถ้าพี่ปฏิเสธก็จะบอกไปตั้งแต่แรก ดังนั้นถ้าพี่ไปแล้ว อย่าคิดที่จะใส่ซองให้กับพี่ เป็นจุดแรกพี่จะโกธรมากๆ และก็จะมาคิดว่าชีวิตพี่ทำไปเพื่ออะไร มันไม่ใช่จิตอาสาแล้วนะ แต่นั่นมันเป็นการหาเงินแล้วนะ คนเราต้องรู้จักจัดสรรชีวิต ทำบุญบ้าง ให้บ้าง ทำงานด้วย มันต้องรวมกันให้หมด”
    เคลียร์ครบทุกประเด็น ทว่า ดาราใจบุญก็ไม่ลืมฝากความประทับใจที่ได้จากการ “แต่งหน้าศพ” ที่ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างของการทำงานเพื่อสังคมของคนวัยหลัก 5 หลัก 6 ทั้งนี้ เพื่อให้คนวัยเกษียณอีกหลายท่านได้นำไปเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อส่วนรวม โดยสามารถเลือกทำได้ตามความถนัด และยังส่งเสริมสุขภาพจิตและกายของ “ผู้ให้” อีกด้วย 
    “ถ้าถามพี่ว่าได้อะไร ก็คงต้องตอบว่าเราได้ความสุข ได้คิดว่าเราเกิดมาเป็นคนก็ควรที่จะแบ่งปัน เพราะว่าชีวิตของเราเกิดมาเป็นดารา มีชื่อเสียง และพี่ก็จะคิดเสมอว่า คนที่เสียไปแล้วนั้นให้คุณกับพี่โดยการติดตามผลงานของเรา ซึ่งเราไม่มีสิ่งตอบแทนเขาเลย และการที่เราจะตอบแทนคนทั้งโลกก็คงไม่ไหว ดังนั้นเราต้องขอบคุณในจุดนี้ที่เราได้เลือกทำ ถ้ามีโอกาสก็อยากที่จะทำให้หลายๆคน แต่เวลามันก็ค่อนข้างไม่อำนวยที่จะไปนั่งทำทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าสิ่งที่เราทำไปมันเป็นความสุขและความภาคภูมิใจเรา พี่ก็ยินดีทำค่ะ”.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"