'สิงโต'เผยปมชีวิตพ่อตีแม่-เก็บขวดขายตั้งแต่เด็ก!


เพิ่มเพื่อน    

 

          มาเปิดใจถึงอดีตที่หลายคนยังไม่เคยรู้ผ่านรายการ คุยแซ่บShow ว่ากว่าจะประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว สำหรับนักร้อง-นักแสดงหนุ่ม สิงโต-สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล หรือ สิงโต เดอะสตาร์ ที่เจ้าตัวบอกว่าวัยเด็กเห็นพ่อแม่ตีกัน แถมยังต้องทำงานเก็บขวดขายตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

ชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อย
    สิงโต : ครอบครัวบกพร่องครับ คือต้องบอกว่าครอบครัวของสิงโตมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา คุณพ่อมีเมียหลายคนเกือบจะเป็น 10 ครับ วันที่ผมคลอดเขาก็ไม่ได้มาดู แล้วก็อยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็ขอแยกทางกับคุณแม่ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ซึ่งระหว่างทางคุณแม่ก็ทราบมาตลอดว่าคุณพ่อมีผู้หญิงอื่นแต่คุณแม่ก็รับได้เพราะว่าคุณแม่มีลูก อยู่เพื่อลูก แล้วก็ยังมีทะเลาะกันอีก ผมก็อยากจะบอกว่าพ่อแม่คนไหนถ้าเกิดมีปัญหากัน ไม่ควรมาทะเลาะตบตีกันให้ลูกเห็นครับ เหมือนที่ผมได้เห็นและผมได้สัมผัสคือพ่อทำร้ายแม่ตลอดเวลา โดนทุบโดนตี ตื่นเช้ามาแม่ผมมีบาดแผลของการโดนทำร้ายให้ผมเห็นตลอด ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแย่ครับ

ทำไมคุณแม่ถึงเลือกที่จะทน?
    คุณแม่ : คิดถึงลูก ก็คือจะทนให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทนได้ หนักสุดก็มีแผลช้ำบวม ชกต่อยอะไรอย่างนี้ค่ะ พาผู้หญิงคนใหม่มาแล้วก็มีปัญหากัน คือคิดว่าตอนนั้นลูกเราก็ยังเด็กแล้วแม่ก็ไม่ได้คิดที่จะเลิกกับเขา
    สิงโต : คือแม่ค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงแบบไทยคือมีความอดทนสูง แล้วก็มีความเมตตา คือใจอ่อนเลยก็ว่าได้ แล้วคุณแม่เขาก็เป็นห่วงเราด้วยเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณแม่ยอมทนในตอนนั้น

จำภาพวันที่พ่อกับแม่แยกทางกันได้ไหม?
    สิงโต : จำได้แม่นเลยครับ ตอนนั้นผมประมาณ 7-8 ขวบ จำได้ว่าเขามาเก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านเก็บด้วยความรวดเร็ว เขาไม่ได้หันมามองผมเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ผมนั่งอยู่ตรงนั้นไม่มีคำลาแม้แต่สักหนึ่งคำ ไม่มีการกอด ไม่มีการบอกลาเลยใดๆ ซึ่งตั้งแต่ผมจำความได้เขาไม่เคยแสดงความรักเลย ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาก็ออกไปนอกบ้านตลอดกลับมาก็ตี 2 ตี 3 น้อยครั้งที่จะอยู่ด้วยกัน แล้วหลังจากวันนั้น เขาก็หายไปเลย ไม่ได้ติดต่อหรือว่าโทรมาให้กำลังใจใดๆเลย แต่เราก็ไม่ได้เรียกร้องเพราะว่าตัวผมมีความรักจากคุณแม่เต็มที่ เราจะกอดจะหอมกันตลอด ผมเลยไม่รู้สึกขาดความรัก

 

 

หลังจากนั้นอยู่กันยังไง?
    สิงโต : คุณแม่กับคุณยายก็จะเป็นคนดูแลเรื่องอาหารการกินแล้วคุณแม่ก็ออกไปรับจ้างทำงานเป็นแม่บ้าน ได้วันละ 200 บาทสมัยก่อน ส่วนเรื่องของการเรียน ผมส่งตัวเองเรียน ผมทำทุกอย่างตั้งแต่เก็บขวดขาย เศษเหล็ก พลาสติก กระดาษ หรืออะไรก็ตามที่ขายได้ผมทำหมด คือคุณยายเขาจะเป็นคนแนะนำผม เขาจะเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแกร่ง แล้วก็เป็นผู้นำ อดทนครับ ตอนแรกๆเราก็จะรู้สึกอาย แต่คุณยายก็บอกว่า ไม่ต้องอายนะลูก งานนี้มันเป็นงานที่สุจริต แล้วก็ได้ช่วยเหลือให้บ้านเมืองเรามีขยะน้อยลง ได้เงินด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าไม่อายถึงแม้เพื่อนจะดูถูก เราก็ภูมิใจ แล้วเราก็จะได้เก็บเงินตรงนี้เอาไปซื้อหนังสือ ซื้อสมุด ปากกา ดินสอไปเรียน ผมค่อนข้างโชคดีที่เรียนโรงเรียนเทศบาล แล้วถ้าเกิดใครสอบได้ที่ 1 ของชั้น ก็จะได้ทุนเรียนฟรี แล้วเราก็จะมุ่งมั่นทุกปี ผมไม่ได้แค่เรียนอย่างเดียว ผมทำกิจกรรมทุกอย่าง ผมเป็นหัวหน้าห้อง แข่งขันโอลิมปิกวิชาการ ได้รางวัลได้เงินซึ่งเป็นเงินก้อน ก็คือทำกิจกรรมทุกอย่างที่จะสามารถผลักดันตัวเองให้เรียนหนังสือได้

เห็นว่าเลิกกันใหม่ๆคุณแม่เครียดถึงขนาดติดเหล้า จริงไหม?
    คุณแม่ : ก็เครียดค่ะ ตอนเลิกกันใหม่ๆกินข้าวกินปลาไม่ได้ ร่างกายซูบผอม แล้วก็ติดเหล้า กินแทบทุกวัน แต่มานึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นหน้าลูกว่าเราทำอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ

 

 

อะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่ทำให้สิงโตมีวันนี้ได้?
    สิงโต : คำสอนของในหลวงครับ คือเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจผม เพราะว่าเวลาผมมีปัญหาผมไม่มีที่ปรึกษา ไม่มีแม่ เพราะแม่ต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่มีพ่อที่คอยให้ปรึกษา ผมอยู่กับยาย เวลาอยู่ในโรงเรียนมันมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพื่อน สังคม หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะไม่มีใครให้ปรึกษา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้คือคำสอนของในหลวงจริงๆครับ

ตอนนั้นทำไม คิดถึงคำสอนของในหลวงของเรา ไปเห็นมาจากไหน?
    สิงโต : คือที่บ้านก็จะมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ ที่คุณยายเก็บไว้แล้วก็มีหนังสือ เป็นหนังสือรวมพระบรมราโชวาท พระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ผมก็เปิดอ่านด้วยความที่เป็นเด็กเราก็ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว อย่างที่เราต้องสอบแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เวลาว่างเราก็อ่านหนังสือ เวลาเครียดผมก็จะเปิดอ่านตลอด แล้วทุกครั้งที่ผมอ่าน ผมจะรู้สึกดีขึ้น มันเหมือนมีพลังแล้วก็แรงบันดาลใจบางอย่างที่ทำให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปได้

ตอนชนะการประกวดเดอะสตาร์ขออะไรคุณแม่?
    สิงโต : ขอให้แม่เลิกเหล้า แล้วก็เลิกบุหรี่ให้ผมครับ

คุณแม่เห็นลูกขอแบบนี้ ว่ายังไงบ้าง?
    คุณแม่ : แม่ก็บอกได้เลยลูก แล้วก็เลิกเลยเพราะลูก ตอนนั้นภูมิใจกับลูกมาก แม่ก็ไม่คิดว่าครอบครัวของเราจะมาอยู่จุดตรงนี้ได้ เพราะเราก็แบบเป็นแม่ค้าธรรมดา พ่อลูกมาขอแม่ แล้วถ้าเกิดคนที่เป็นแม่ทำให้ลูกแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่แล้วนะ
    สิงโต : ผมไม่ได้คิดว่าผมจะได้ที่ 1 นะครับ แต่ผมก็ตั้งใจอยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนานแล้ว แต่เราก็ไม่มีวิธีทำ เพราะคุณแม่เขาก็เครียดของเขา แต่เราก็พยายามที่จะพัฒนาตัวเองหรือทำอะไรก็ได้ที่ให้ครอบครัวเห็นว่า เด็กคนนี้สามารถเป็นหลักได้นะ และเป็นหลักได้ต้องเชื่อเขา เหมือนกับว่าอะไรที่ไม่ดีก็ไม่ให้ทำ แล้วสิ่งนี้ก็ทำให้ผมไม่ชอบการดื่มเหล้า ตั้งแต่เด็กจนโตถึงตอนนี้อายุ 26 ปีแล้ว ผมยังไม่เคยเมาสักครั้ง เวลาไปออกงานโดนผู้ใหญ่บังคับให้ดื่มก็พอดื่มได้บ้าง แต่ว่าทุกครั้งที่ดื่มมันก็จะมีภาพ สมัยเด็กๆที่คุณแม่โดนทำร้ายเกิดขึ้นมาในหัวอยู่ตลอด ดังนั้นผมก็เลยอยากที่จะเรียกอะไรพวกนี้ตลอดเวลา หลายๆท่านก็อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมสิงโตอยู่ในวงการบันเทิง ถึงไม่ปาร์ตี้บ้างอะไรบ้าง เพราะว่าผมยังไม่เคยเล่ามุมนี้ให้ใครฟัง ว่าผมมีปมตรงนี้ เลยทำให้ผมไม่ชอบอะไรอย่างนี้เลยครับ

 

 

เพราะปมเหล่านี้ใช่ไหม ที่ทำให้ สิงโต มีทุกอย่างเหมือนวันนี้ได้?
    สิงโต : มันเป็นวิธี คือต้องเรียกว่า เปลี่ยนมุมในการมอง คือถ้าเราไปมองว่าพ่อแม่เราติดเหล้าเราต้องติดด้วย ข้างบ้านมีค้าขายสิ่งเสพติดเราต้องมั่วสุมด้วย อันนั้นมันก็จะไปอีกทางนึงเลย แต่ถ้าเราบอกว่า ไม่!ยิ่งมีแบบนี้เท่าไหร่มันก็จะกลับด้านแล้วยิ่งทำให้ตัวเองดี ยิ่งจะพัฒนาให้ เราห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้ อบายมุขพวกนี้ให้ได้ ก็จะเป็นอีกมุมหนึ่งที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองไปได้
    ที่ไม่เคยพูดเพราะตอนนั้นเรายังเด็ก เราอยากที่จะมีวุฒิภาวะมากพอที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้ อยากจะให้แฟนคลับเข้าใจ เพราะว่าถ้าเราไปพูดตอนที่เราเป็นเด็กแฟนคลับอาจจะไม่เข้าใจ แต่เรามาพูดตอนที่เรามีตำแหน่งหน้าที่การงาน มีบ้าน มีอะไรที่มั่นคงแล้ว เราถึงมาเปิดเผยให้ทุกคนเห็นว่าเด็กที่เป็นกำพร้า พ่อแม่ทิ้งไม่มีใครส่งเรียน ก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน

ความรู้สึกวันนี้ยังรู้สึกโกรธคุณพ่ออยู่ไหม?
    สิงโต : ไม่เคยโกรธครับ ถ้าเป็นเรื่องของคุณพ่อเนี่ยผมเคยเสียน้ำตาแค่ครั้งเดียวคือตอนอาจารย์เอาสารคดีมาเปิดให้ดู แล้วมันเป็นสารคดีสัตว์มีภาพตอนที่พ่อแม่นกเอาอาหารคาบไปป้อนให้ลูกของมัน อยู่เฉยๆผมก็ร้องไห้ออกมา โดยที่คุณครูและทุกคนไม่รู้สาเหตุว่าร้องไห้ทำไม ตอนนั้นด้วยความที่เป็นเด็กมันก็เกิดความรู้สึกอนาถใจว่า สัตว์มันยังไม่ทิ้งลูกของมันเลย แล้วทำไมคนแท้ๆถึงต้องทิ้งลูกของตัวเอง มันเลยเกิดอารมณ์ ขึ้นมาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นมันก็ไม่เคยมีอารมณ์ในการโกรธอีกเลย
    ที่ผมมาพูดในวันนี้ มันคือเรื่องจริงทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม จริงๆแล้วมันก็มีรายละเอียดอีกเยอะมาก แต่ว่าวันนี้คือผมอยากจะมาให้กำลังใจ กับครอบครัว สำหรับเด็กที่ตกอยู่ในสถานการณ์ เดียวกับผมให้มีกำลังใจแล้วก็ให้เชื่อมั่นว่า เราสามารถประสบความสำเร็จได้ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาประจาน เพราะว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ถึงไม่ประจานมันก็เป็นเรื่องจริงครับ

คุณแม่อยากจะบอกอะไรกับลูกไหม?
    คุณแม่ : ก็ชื่นชมลูก ไม่คิดว่าลูกจะมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ ก็รักลูกมาก ก็อยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกทำมันก้าวหน้า สดใสรุ่งเรืองต่อไปค่ะ รักลูกนะ

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"