ความดีกับเสรีภาพ


เพิ่มเพื่อน    

                                                           (1)

        ท่าน ระพินทรนาถ ฐากุร (Rabindranath Tagore) อภิมหาปราชญ์แห่งอินตะระเดีย เจ้าของรางวัลโนเบิลไพรซ์เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ท่านเคยเอ่ยไว้เป็น วาทะ อันสุดแสนจะงดงาม ไม่ต่างอะไรไปจากบทกวีคลาสสิกในวรรณกรรม คีตาญชลี เอาไว้ประมาณว่า... "I am able to love my God because he gives me freedom to deny him." หรือถ้าแปลตามสำนวนของอาจารย์ กรุณา กุศลาสัย ก็คงประมาณ... “ข้ารักพระผู้เป็นเจ้าของข้า เพราะพระองค์ท่านทรงประทานเสรีภาพให้ข้าสามารถปฏิเสธพระองค์ท่านได้...”

                                                      (2)

        ซึ่งวาทะที่ว่า...ไม่ว่าจะมองไปในแนวฮินดูสไตล์ หรือแนวไหนๆ ก็แล้วแต่ แต่ก็ออกจะคล้ายๆ กับวาทะของอิสลาม ที่ถูกหยิบมาเอ่ยอ้างเอาไว้บ่อยๆ ประมาณว่า... “พระผู้เป็นเจ้า (อัลเลาะห์) ได้ทรงประทานเสรีภาพให้กับมวลมนุษย์ ในอันที่จะเลือกทำดีก็ได้ หรือทำชั่วก็ได้ โดยที่เขาเหล่านั้นย่อมได้รับ...ผลแห่งการกระทำนั้นๆ อย่างไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่อณูเดียว...” แม้ว่าอิสลามสไตล์นั้น อาจค่อนข้างเอาจริง เอาจัง ไม่หวานชื่น ละเมียดละไม แบบท่าน ระพินทรนาถ ฐากุร แต่สิ่งที่คล้ายคลึงกัน เหมือนกัน อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพ นั่นเอง อันเป็นสิ่งที่แทบทุกศาสนาล้วนแล้วแต่ให้การยอมรับ ในการที่จะเลือกหนทาง ไปสู่การยอมรับ หรือการปฏิเสธ ต่อสิ่งสูงสุดที่เรียกว่า พระเจ้า หรือ ธรรมะ ในศาสนานั้นๆ...

                                                       (3)

        พูดง่ายๆ ก็คือ...การทำดี การเป็นคนดี ตามแนวทางของศาสนาแต่ละศาสนา มันเป็นเรื่องที่มิอาจ บังคับ แต่ควรปล่อยให้เป็น เสรีภาพ ของผู้ที่จะเลือกนับถือ-ไม่นับถือ ศรัทธา-ไม่ศรัทธา ซะล่ะมากกว่า เพราะด้วยเสรีภาพในการเลือกนี่เอง ที่มันสามารถทำให้เกิดการ เข้าใจ-เข้าถึง แก่นสาระของศาสนานั้นๆ หรือ เข้าใจ-เข้าถึง สิ่งที่เรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า ได้อย่างแท้จริง ต่างไปจากการ บังคับ ที่มันมักก่อให้เกิดการยึดถือ ยึดติด แต่เพียงรูปแบบ หรือ กระพี้ ในศาสนานั้นๆ การทำดี หรือการเป็นคนดี แต่เพียงแค่รูปแบบ มันเลยอาจเป็นไปในลักษณะ ชั่วหรือดี...อัปรีย์ด้วยกันทั้งสิ้น อย่างที่อภิมหาปราชญ์แห่งพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านเคยกระตุกเอาไว้แรงๆ นั่นเอง...

                                                       (4)

        แต่การปล่อยให้เป็นไปตาม เสรีภาพ นั้น...ก็ใช่ว่าจะหมายถึงการปล่อยเลย-ตามเลย กิน-ขี้-ปี้-นอน กันได้ตามใจชอบ เพราะการ เข้าใจ-เข้าถึง แก่นสาระของศาสนาแต่ละศาสนานั้น ล้วนแต่หนีไม่พ้นต้องหาทาง บังคับ ตัวตนของตัวเอง ในแทบทุกๆ ด้านนั่นแหละทั่น และออกจะเป็นการ บังคับ แบบหนักหน่วง รุนแรง เผลอๆ อาจหนักซะยิ่งกว่ากฎระเบียบทางศีลธรรมกฎหมาย พิธีกรรม ประเพณี ฯลฯ หรือแม้แต่ กฎกระทรวง ใดๆ ก็แล้วแต่ คือบังคับลึกลงไปถึงประสาทสัมผัสทั้งมวล ไม่ว่าหู-ตา-จมูก-ปาก-กาย-ใจ แบบชนิดนาทีต่อนาที โดยไม่ต้องเสียเวลาให้ใครมาตรวจสอบ ตรวจเช็ก ไม่ต้องมีตำรวจ-ทหาร-ศาล-คุก รวมไปถึง เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ มาคอยควบคุม ดูแล มีแต่ ตัวตนของตนนั่นแหละ ที่เป็นตัวคอยตรวจเช็ก ตรวจสอบ ควบคุม บังคับ หรือแม้แต่ลงโทษตัวเองกันภายในตัว...

                                                     (5)

        ส่วนการลงโทษนั้น...จะหนัก-ไม่หนัก แรง-ไม่แรง เหมือนอย่างโทษทัณฑ์ในตัวบทกฎหมาย อันนั้น...ก็แล้วแต่จะพิจารณากันไปตามสภาพ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเป็นโทษที่ตั้งอยู่บน มาตรฐานความยุติธรรม อย่างชนิดเที่ยงแท้ แน่นอน แบบที่ชาวอิสลามเขาว่าไว้ว่า ย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้นๆ...อย่างไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่อณูเดียว อะไรทำนองนั้น ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ทำอะไรก็ย่อมได้สิ่งนั้น ตามแบบฉบับ เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป นั่นเอง ใครที่อยากจะได้สิ่งดีๆ ได้สิ่งที่เป็นสุข-ไม่เป็นทุกข์ ก็เลยหนีไม่พ้นที่ต้องอาศัย เสรีภาพ ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานไว้ให้ มาใช้ บังคับตัวตนของตน กันชนิดนาทีต่อนาที ชนิดทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถึงจะมีโอกาสเป็นคนดีในแบบดีจริง ดีแท้ ดีพอที่จะ เข้าใจ-เข้าถึง หรือดีพอที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เข้าไปหลอมรวมกับพระเจ้า เข้าสู่ภาวะนิพพาน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่จะว่ากันไป...

                                                    (6)

        แต่ก็อย่างว่า...การหาทาง บังคับ ให้ใครต่อใครเป็น คนดี มันอาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง สำหรับการอยู่ร่วมกันในโลก โลกียะ เพื่อให้ คนไม่ดี มันออกฤทธิ์ ออกเดช จนสภาพสังคมไม่เอื้ออำนวยต่อการใฝ่ดี ทำดี ชนิดเลอะเทะ เละเทอะ กันไปทั้งบาง แต่ก็นั่นแหละ การบังคับนั้นๆ...คงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจต่อ เสรีภาพ ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้มนุษย์แต่แรกควบคู่ไปด้วย หรือเข้าใจถึง ความดีที่เกิดจากการยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่ ความดีที่เกิดจากการบังคับ ไม่เช่นนั้น...อะไรที่คิดว่าจะนำไปสู่ ความดี เผลอๆ...อาจนำไปสู่การต่อต้าน คัดค้าน จนก่อให้เกิดความเละเทะ เละเทอะ เกิดความปั่นป่วน วุ่นวายโดยใช่เหตุ หรือนำไปสู่ ความไม่ดี ที่ไม่มีใครในสังคมต้องการ ด้วยเหตุเพราะความไม่เข้าใจ-ไม่เข้าถึง ของบรรดาผู้ที่มีอำนาจรัฐ ทั้งหลายนั่นแล...                                                       

                                 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"