‘กม.ปิโตรเลียม’ยุคฝักถั่ว เอกชนไม่ต้องวางประกัน


เพิ่มเพื่อน    

  สภาฝักถั่วเห็นชอบกฎหมายปิโตรเลียม เปิดทางเอกชนกินอิ่มนอนหลับ ไม่ต้องวางหลักประกันรื้อถอนแท่นและดูแลสิ่งแวดล้อม อ้างช่วงปลายสัมปทานเอกชนมักขาดทุน ไม่เป็นแรงจูงใจให้บริษัททำผลกำไร ทำให้รัฐเก็บภาษีได้ไม่เต็มที่ 

    ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 21 กันยายน มีมติเอกฉันท์ 164 คะแนน เห็นชอบให้ร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม ได้มีสมาชิก สนช.อภิปรายสอบถามถึงสาเหตุที่คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ตัดเนื้อหาในมาตรา 4 และมาตรา 8 ออกไป 
    โดยมาตรา 4 เป็นบทบัญญัติว่า การให้เอกชนผู้รับสัมปทานหรือสัญญาในการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียม ต้องวางเงินเป็นหลักประกันในการรื้อถอนแท่นที่หมดสภาพการใช้งานแล้วหลังหมดอายุสัมปทาน หรือสัญญาการสำรวจผลิตปิโตรเลียม ส่วนมาตรา 8 เป็นเนื้อหาที่ว่าด้วยการให้เอกชนต้องวางเงินหลักประกันเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดปัญหาจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพราะอาจทำให้รัฐเสียประโยชน์
    พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร สมาชิก สนช.และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ อภิปรายว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาลงในรายละเอียด มีเหตุผลที่ต้องตัดมาตรา 4 ออกไป ด้วยเหตุผล 3 ประการ
    1.โดยข้อเท็จจริงผลประกอบการสัมปทานของธุรกิจปิโตรเลียมช่วงปลายสัมปทาน มักจะประสบกับผลขาดทุน เพราะผลผลิตน้อย หากเกิดผลขาดทุนก็จำเป็นต้องเอาผลของการขาดทุนมาหักออกจากหลักประกันที่จะนำมาเป็นรายได้ก่อน ยกตัวอย่าง ในปีที่ผู้รับสัมปทานมาขอคืนหลักประกัน 1 แสนล้านบาท ปรากฏว่าบริษัทมีผลขาดทุน 5 หมื่นล้านบาท จะต้องนำผลขาดทุนหักออกจากมูลค่าหลักประกัน ซึ่งจะเหลือกำไรสุทธิ 5 หมื่นล้าน โดยเมื่อคิดภาษีเงินได้ 40% เท่ากับ 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้น แทนที่รัฐจะได้รับภาษีเต็มจำนวนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผลการขาดทุนเพิ่มมากขึ้นจนเท่ากับหรือมากกว่ามูลค่าหลักประกันที่นำมาวางไว้ จะทำให้รัฐไม่ได้รับภาษีส่วนนี้คืนเลย
    นอกจากนี้ การขอคืนหลักประกันและนำมาเป็นรายได้ ยังจะเป็นภาระค่าจ่ายทางภาษีของบริษัท ซึ่งการที่บริษัทประกอบกิจการในช่วงปลายสัมปทาน เมื่อประสบผลขาดทุนและยังต้องมีภาระทางภาษีอีก ก็จะไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับบริษัททำผลกำไร ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทมีผลประกอบการขาดทุนปีนั้น 5 หมื่นล้านบาท เมื่อขอคืนหลักประกันจำนวน 1 แสนล้านบาท บริษัทก็จะมีกำไร 5 หมื่นล้านบาท จึงจำเป็นต้องพยายามไปหาเงินมาเสียภาษีอีก 2 หมื่นบาท ซึ่งจะไม่เกิดแรงจูงใจเพื่อจะประกอบธุรกิจให้มีกำไร ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐมีโอกาสสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้ค่อนข้างสูง โอกาสที่จะได้ภาษีมีน้อยมาก
    2.โดยข้อเท็จจริงแล้วค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแท่นผลิตและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทหรือผู้รับสัมปทานสามารถนำมาหักและนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวนภาษีเงินได้ได้อยู่แล้ว หมายความว่า ถ้ารื้อถอนไปแล้ว และบริษัทมีค่าใช้จ่าย 1 แสนล้านบาท ก็นำเงินจำนวนนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อหักภาษี และจะได้รับเงินภาษีคืนไป 4 หมื่นล้านบาท เหมือนกับบริษัทจ่าย 6 หมื่นล้านบาท และรัฐจ่าย 4 หมื่นล้านบาท ในการรื้อถอน
    ดังนั้น หากมีกรณีที่ต้องจ่ายภาษีในส่วนของหลักประกันเพิ่มขึ้นอีก เท่ากับว่ารัฐต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้เป็นต่อที่สอง เช่น ถ้าบริษัทขาดทุนจนไม่ได้รับเงินคืนเลย แทนที่รัฐจะเสีย 4 หมื่นล้านบาทร่วมกับบริษัท รัฐจะเสีย 8 หมื่นล้านบาท หรือ 80% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งรัฐเกือบจะเป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนแต่เพียงผู้เดียว
    3.การนำหลักประกันมาเป็นค่าใช้จ่ายในทางภาษีนั้น ไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อนในประเทศไทย ถ้าตราเป็นกฎหมายออกไป จะเป็นตัวอย่างให้ธุรกิจสัมปทานประเภทอื่นๆ นำมาเป็นแบบอย่าง และจะเป็นปัญหาทางภาษีหรือรายได้ของรัฐต่อไปในอนาคต
    พล.ร.อ.ชัยวัฒน์กล่าวสรุปว่า เมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาทั้ง 3 เหตุผลแล้ว จึงเห็นควรให้ตัดมาตรา 4 และมาตรา 8 ออกจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้พยายามทางออกอื่นๆ เช่น การแก้ไขให้เก็บภาษีเต็มจำนวนโดยไม่นำเรื่องผลกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้อง แต่ได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงการคลังว่าจะเป็นปัญหาในการเก็บภาษีในอนาคต
    ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการแถลงข่าวโดยคณะกรรมการตรวจสอบภาคประชาชน กรณีน้ำมันเถื่อนหนีภาษีของบริษัทเชฟรอนและการมีพฤติกรรมเข้าข่ายส่อเจตนาทุจริตประพฤติมิชอบของอธิบดีกรมศุลกากรและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง, น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และนายศรีสุวรรณ จรรยา ร่วมแถลงข่าว
    น.ส.รสนากล่าวว่า กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียมครั้งที่ 7 เมื่อปี 2560 โดยมีการเพิ่มระบบแบ่งปันผลิต และระบบจ้างผลิต โดยระบุว่า แก้ไขเพื่อให้ประเทศไทยมีทางเลือกมากขึ้น แต่ปรากฏว่ากระทรวงพลังงานได้มีการออกกฎกระทรวง กำหนดพื้นที่ทำให้ระบบแบ่งปันผลผลิตปฏิบัติไม่ได้ เนื่องจากมีการกำหนดว่า ต้องมี ปิโตรเลียมสำรองตามจำนวนที่กำหนด จึงสามารถดำเนินการในระบบแบ่งปันผลผลิตไม่ได้ โดยเหลือพื้นที่เพียงแค่แหล่งเอราวัณและบงกชเท่านั้นที่สามารถใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตได้ อีกทั้งยังระบุว่า เมื่อรัฐได้รับส่วนแบ่งที่เป็นก๊าซหรือปิโตรเลียมจากเอกชน แล้ว สามารถฝากเอกชนขายผลผลิตได้ และยังระบุอีกว่า ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการส่อว่า เรื่องดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่มิชอบ
    ด้านนายธีระชัยกล่าวว่า ในปี 2525 เคยมีการตีความโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า น้ำมันและก๊าซที่ขุดพบในอ่าวไทย เมื่อส่งออกจากแท่นขุดเจาะตามท่อมาขึ้นบก ไม่ถือเป็นการนำเข้า แต่ถือเป็นการเคลื่อนย้ายภายในราชอาณาจักร แต่การขนส่งน้ำมันไปยังแท่นขุดเจาะ ถือว่าเป็นการส่งออก ซึ่งกลับกลายเป็นว่ากฎหมายมีความย้อนแย้งกันเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อธิบดีกรมศุลกากรต้องตอบให้ได้ แม้จะย้ายข้ามห้วยไปนั่งตำแหน่งปลัดกระทรวงพลังงานก็ตาม ท่านต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ อย่างไรก็ดี เราได้ส่งเรื่องไปที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาให้ร่วมตรวจสอบ ซึ่งกรณีดังกล่าวหากมีการจ่ายสินบนจริง เงินจะต้องออกมาจากบัญชีที่อยู่ในเกาะฟอกเงิน ซึ่งหน่วยงานของไทยไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่สหรัฐอเมริกาสามารถตรวจสอบได้
    ขณะที่นายศรีสุวรรณกล่าวว่า ได้รับจดหมายร้องเรียนจากภริยานายทหารในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี กรณี การจับน้ำมันเถื่อนล็อตใหญ่ ที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อปลายเดือน มิ.ย.2561 พบว่ามีนายทหารของค่ายทหารใน จ.สุราษฎร์ฯ เกี่ยวข้องด้วย 4 นาย ขณะที่ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนว่าสั่งปลดทหารทั้ง 4 นายไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเรื่องการปลดไม่เกิดขึ้นจริง ขณะนี้นายทหารทั้ง 4 นายยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ขณะที่การจับกุมครั้งนี้ เป็นการจับกุมโดยหน่วยเฉพาะกิจของแม่ทัพภาคที่ 4 จากนั้นมีการตั้งคณะกรรมการสอบ แต่ปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันยังไม่มีผลสอบออกมา ขณะที่คนส่วนใหญ่คาดการณ์กันว่า เมื่อแม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบันหมดวาระ เรื่องดังกล่าวจะเงียบไป และการขนน้ำมันเถื่อนจะกลับมาดำเนินการตามปกติ  ไม่มีแม้แต่การสั่งพักราชการ ซึ่งตนรู้สึกไม่สบายใจว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"